กําลังส่ง 1 W สามารถออกอากาศได้ 100 W | ||
มิเตอร์วัดกําลังส่งของเครื่องวิทยุสื่อสารชนิดมือถือ | ||
วิธีอ่านสเป็คเครื่องวิทยุรับ/ส่ง | ||
เปรียบเทียบ Spacification Mobile Radio |
เครื่องวิทยุรับ
/
ส่ง
ชนิดมือถือ
กําลังส่ง
1 W
สามารถออกอากาศได้
100 W
คงเป็นที่ทราบกันนะครับว่าเครื่องวิทยุสื่อสารชนิดมือถือ
ทางกรมไปรษณีย์อนุญาติให้ใช้กําลังส่งได้สูงสุดคือ
5 W
ส่วนเครื่องวิทยุรับ / ส่ง
ชนิดติดตั้งประจําที่ ( โมบาย ) อนุญาติให้ใช้กําลังส่งได้สูงสุด
10 W
หากแต่เพื่อน
ๆ
คงทราบกันแล้วว่า
การติดต่อสื่อสารในบางสถานที่อาจทําให้เราได้รับสัญญาณของเพื่อนคู่สนทนาไม่ดี
โดยอาจจะมาจากโลเกชั่น หรือ อาจจะมาจากด้านระยะทางของสถานีรับ / ส่ง
ซึ่งอาจจะอยู่ไกลกัน หากเพื่อน ๆ
ต้องการที่จะติดต่อสนทนาด้วยก็จําเป็นที่จะต้องใช้กําลังส่งที่สูง
ซึ่งอาจจะทําให้ผิดกฎของกรมไปรษณีย์ได้
วันนี้ผมจึงขอแนะนําเกี่ยวกับเรื่องการขยายสัญญาณโดยที่ยังใช้กําลังส่งที่ตํ่า
( 1 W )
อยู่ในเกณฑ์ที่กรมไปรษณีย์อนุญาติ
แต่สามารถสร้างเกนขยายเมื่อออกที่ปลายสายอากาศส่ง ได้ถึง
100 W
ตามที่เพื่อน ๆ
ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เกนขยายที่เพื่อน ๆ ใช้มีหน่วยวัดเป็น
dB
ซึ่งโดยมากมักจะใช้ตํ่าสุดอยู่ที่ประมาณ
3 dB (
สายอากาศประเภท
5/8
แลมด้าชั้นเดียว
)
และโดยทั่ว ๆ ไปที่เพื่อน ๆ จัดหามา หรือสร้างขึ้นมักจะมีเกนขยายอยู่ในช่วง
3 - 9
dB
มีทั้งที่เป็นสายอากาศรอบตัว กึ่งทิศทาง(โฟลเด็ดไดโพล)และสายอากาศประเภททิศทาง
(ยากิ)
ผมก็เลยถือโอกาสเสนอค่ากําลังขยายของเสาเป็น
dB
ต่าง
ๆ
เพื่อเปรียบเทียบดูว่าจะได้กําลังส่งกี่เท่าของกําลังส่งเดิม
จากสูตร
กําลังขยาย ( ในหน่วย dB ) = 10 log ( กําลังส่ง 1 / กําลังส่ง 2 ) |
เมื่อเอากําลังส่งที่ออกจากสายอากาศหารด้วยกําลังส่งที่เครื่องส่งมา
ถอดลอการิธึมแล้วคูณด้วย
10
ก็จะได้กําลังขยายในหน่วย
dB
ที่ต้องการ ดังนั้นหากเพื่อน ๆ ออกแบบจัดสร้างสายอากาศที่มีค่า
dB
สูง
ๆ เพื่อน
ๆ
ก็จะสามารถคํานวณได้ว่า
กําลังส่งที่ออกจากสายอากาศที่ท่านออกแบบสร้างนั้นจะออกอากาศได้กี่วัตต์
กําลังขยายของสายอากาศ ( dB ) |
กําลังออกอากาศ ( W ) เมื่อส่ง 1 W |
1 |
1.3 |
2 |
1.6 |
3 |
2.0 |
4 |
2.5 |
5 |
3.2 |
6 |
4.0 |
7 |
5.0 |
8 |
6.3 |
9 |
7.9 |
10 |
10.0 |
11 |
12.6 |
12 |
15.8 |
13 |
20.0 |
14 |
21.5 |
15 |
31.6 |
16 |
39.8 |
17 |
50.1 |
18 |
63.1 |
19 |
79.4 |
20 |
100.0 |
จากตารางที่ให้มานี้จะเห็นได้ว่า หากเพื่อน ๆ
จัดสร้างสายอากาศที่มีเกนขยายของการแพร่กระจายคลื่นสูงถึง
20 dB
เพื่อน ๆ
ก็จะได้กําลังในการออกอากาศที่ปลายสายอากาศสูงถึง
100 W
ด้วยเพียงแค่เพื่อน ๆ
มีเครื่องวิทยุรับ / ส่ง ชนิดมือถือ แล้วออกอากาศเพียงแค่กําลังส่งระดับตํ่า (
1 W )
ดังนี้แล้วเพื่อน ๆ ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องใช้กําลังส่งสูง ๆ
เพื่อการติดต่อสื่อสารกับคู่สถานีอื่น ๆ ให้ผิดกฎกรมไปรษณีย์
หากแต่ตารางที่ให้มานี้ยังมีข้อจํากัดที่ค่าสูญเสียในสายนําสัญญาณ
ซึ่งผมจะนํามาแนะนําในครั้งต่อ ๆ ไป
มิเตอร์วัดกําลังส่งของเครื่องวิทยุสื่อสารชนิดมือถือ
มีอยู่บ่อยครั้งไหมครับที่เพื่อน ๆ
อยากรู้ว่าเครื่องวิทยุสื่อสารชนิดมือถือที่เพื่อน ๆ
ใช้กันอยู่มีกําลังในการส่งออกอากาศตรงตามสเปกของมันหรือไม่
หรือว่าเมื่อแรงดันแบตเตอรี่อ่อนลงกําลังส่งจะตกลงเท่าใด
มิเตอร์วัดกําลังส่งเป็นเครื่องมือที่สามารถบอกให้กับเพื่อน ๆ ได้
เพราะเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเพื่อน ๆ
ก็สามารถที่จะอ่านค่ากําลังส่งของเครื่อง
วิทยุสื่อสารของเพื่อน ๆ ได้แล้ว
การจัดสร้างก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรครับ มาลองดูแบบของนายเฮนรี่ เนเบน
นักวิทยุสมัครเล่นชาวอเมริกัน เจ้าของสัญญาณเรียกขาน
W9QB
ดูครับว่าเค้าทํากันอย่างไร
W9QB
เขาเคยนําบทความเกี่ยวกับ
มิเตอร์วัดกําลังส่งของเครื่องวิทยุสื่อสารชนิดมือถือ
ออกเผยแพร่ในวารสาร
QST
ซึ่งเป็นวารสารที่พิมพ์ในประเทศอเมริกา โดยเขาแนะนําว่า มิเตอร์วัดกําลังส่งตัวนี้
ประกอบด้วยค่าความต้านทานค่า
50
โอห์ม ที่ทําหน้าที่เป็น " ดัมมี่โหลด "
แล้วก็มีวงจรสําหรับวัดแรงดันคร่อมตัวต้านทานเหล่านี้
ซึ่งค่าแรงดัน
นี้จะมีค่าสัมพันธ์กับกําลังส่ง
จึงสามารถใช้ดูเพื่อเปรียบเทียบว่ากําลังส่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่
แต่หากเพื่อน ๆ
ต้องการเครื่องวัดกําลังส่งที่มีความแม่นยําแล้ว
W9QB
แนะนําว่าให้ผ่านวงจรนี้ไปเลย ความต้องการของ
W9QB
นั้นต้องการที่จะจัดสร้างมิเตอร์วักําลังส่งขึ้นเพื่อที่จะใช้กับเครื่องวิทยุสื่อสารยี่ห้อ
Kenwood
รุ่น
TR -
2500
ชนิดมือถือ
ซึ่งมีภาวะกําลังส่ง
Hing
เป็น
2.5 W
ตามสเปกที่ได้มา
ดังนั้น
W9QB
จึงได้ออกแบบวงจรดังรูป
โดยให้ R ทําหน้าที่เป็นดัมมี่โหลดที่มีค่าความต้านทาน 50 โอห์ม ตามค่าที่ให้ไว้นี้หากคํานวณออกมาจะได้ค่าเท่ากับ 49.5 โอห์ม ซึ่งนับได้ว่าใกล้เคียงพอสมควร และสามารถทนรับกําลังส่งได้ถึง 3 วัตต์ ในกรณีที่เพื่อน ๆ ต้องการที่จะดัดแปลงไปใช้กับเครื่องวิทยุสื่อสารที่มีกําลังส่ง 5 วัตต์ ก็อาจจะใช้ค่า R เป็นตัวต้านทานที่มีค่า 510 โอห์มจํานวน 10 ตัวมาขนาดกันแทนก็ได้ การจัดสร้างก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยเพื่อความสะดวกสําหรับการต่อเข้าเครื่องวิทยุรับ / ส่ง ชนิดมือถือโดยที่ไม่ต้องต่อผ่านสายนําสัญญาณชนิดโคแอคเชียลตาแบบจึงใช้ขั้วต่อชนิด BNC ตัวผู้ ทําให้ต้องเจาะตัวกล่องที่ใช้ประกอบอุปกรณ์ให้ใหญ่พอที่จะใส่ขั้วต่อ BNC โดยที่กล่องใส่อุปกรณ์นั้นจะทํามาจากอลูมิเนียมพื่อป้องกันมิให้คลื่นแม่เหล็ก หรือคลื่นไฟฟ้าต่าง ๆ รอบสถาที่ใช้วัดเข้าไปกวนอุปกรณ์ได้ แล้วเจาะรูเล็ก ๆ 6 รูรอบ ๆ ตัวน็อตเพื่อใช้เป็นที่พักสายของตัวความต้านทานหลังจากยึดขั้ว BNC เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้บัดกรีลวดตรงกลางพร้อมฉนวนชั้นในของสายนําสัญญาณโคแอคเชียลเบอร์ RG - 58/U เข้ากับเข็มกลางของขั้ว BNC เสร็จแล้วใส่ฉนวนภายนอกของสายโคแอคเชียลมาหุ้มอีกชั้นหนึ่ง ( โดยไม่มีชีลด์อยู่ด้วย ) ดังนั้นก็จะได้สายโคแอคเชียลที่ไม่มีชีลด์ออกมาเพื่อต่อเข้ากับปลายขาของ ตัวต้านทานค่า R ในการสร้างจะต้องพยายามให้สายต่าง ๆ สั้นที่สุดเพื่อลดผลของการเหนี่ยวนําด้านไฟฟ้า และประจุไฟฟ้าแฝงที่อาจจะเกิดขึ้น มิเติร์ที่ใช้เป็นขนาด 0 - 100 มิลิแอมป์ แบบถูก ๆ ที่เราสามารถจะหาได้ อาจจะใช้เป็น VU มิเตอร์ที่หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าแถว ๆ บ้านหม้อมาแทนได้ สําหรับของต้นแบบ W9QB ถอดเอาหน้าปัดมาเขียนเป็นสเกลใหม่ตามรูป
|
ภายในมิเตอร์วัดกําลังส่ง |
โดยแบ่งออกเป็นช่องเท่า
ๆ กัน
แต่ต่อเพิ่มมานึกขึ้นได้ว่าการแบ่งสเกลแบบนี้ผิดเพราะควรจะต้องแบบและเขียนเป็นแบบลอการึทึมและควรเขียนขึ้นจากการปรับแต่งเปรียบเทียบกับเครื่องมือวัดตัวอื่น
ๆ แต่ถ้าไม่ต้องการอ่านค่ากําลังส่งที่แท้จริงแล้ว ให้ต่อเครื่องวิทยุรับ / ส่ง
ชนิดมือถือ เข้ากับมิเตอร์วัดกําลังส่ง
แล้วลองส่งออกอากศที่อยู่ในขณะกำลังไฟแบตเตอรี่เต็ม แล้วปรับค่าตัวต้านทาง
100
กิโลโอห์ม จนเข็มชี้ที่ประมาณ
80 %
ของสเกล
ขีดเครื่องหมายบนสเกลที่ตําแหน่งนี้ไว้ใช้เปรียบเที่ยบในโอกาสต่อไปว่าค่ากําลังส่งจะลดลงหรือไม่
ซึ่งสามารถใช้วัดค่ากําลังส่ง และประจุของแบตเตอรี่ได้ในเวลาเดียวกัน
เพราะหากค่าที่เพี้ยนผิดไปจากเดิมอาจจะมาจากสาเหตุของการเก็บประจุไฟของแบตเตอรี่ก็เป็นได้
แต่หากเพื่อน ๆ ต้องการอ่านค่าของกําลังส่งบนหน้าปัดเลย
ให้เปรียบเทียบกับเครื่องวัดกําลังส่งตัวอื่น ๆ
ที่เชื่อถือได้โดยทําการทดลองที่ระดับกําลังส่งที่ต่างกัน
เพื่อสร้างสเกลบนหน้าปัดให้เป็นมาตราฐานสําหรับการวัดในครั้งต่อ ๆ ไป
โดยที่ค่าเต็มสเกลบนเครื่องวัดต้นแบบก็จะอยู่ที่
3
วัตต์โดยหมุนตัวต้านทาน
100
กิโลวัตต์ จากผลการทดลองของ
W9QB
ในห้องปฏิบัติการของ
ARRL
พบว่า
SWR
ที่อ่านได้จากมิเตอร์วัดกําลังส่งจะน้อยกว่า
1.2 : 1
จนถึงความถี่ประมาณ
350 MHz
วิธีอ่านสเป็คเครื่องวิทยุรับ/ส่ง
หลายท่านหลายคนคงปัญหาว่า "อยากได้เครื่องวิทยุสื่อสารสักครั้งหนึ่งไว้ใช้งาน" จะเลือกรู่นไหนกันดี คิดแล้วคิดอีกจนหน้าปวดหัว เครื่องดีๆ หน่อยราคาก็สูง คุณภาพต่างๆ ของแต่ละรุ่นจะเป็นอย่างไรนั้น สำหรับคนที่เป็นนักวิทยุสมัครเล่นมานานก็คงได้เคยใช้เครื่องหลายๆ รุ่น อันนี้คงไม่มีปัญหาในการพิจารณาสักเท่าไหร่ แต่สำหรับนักวิทยุสมัครใหม่ๆ จะเลือกเครื่องสักเครื่องก็ต้องถามจากผู้ที่เคยใช้มาก่อนว่า รุ่นนี้เป็นยังไง ใช้ดีไหม เรื่องอะหลั่ยเป็นไง ราคาประมาณเท่าไหร่ เป็นคำถามยอดฮิตของผุ้ที่ต้องการจะเครื่องวิทยุฯ สักเครื่องไว้ใช้งานเป็นเครื่องแรก |
|
|
|
วันนี้ก็เลยจะขอเสนอวิธีการอ่านสเป็คเครื่องวิทยุรับ/ส่ง เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจในการเลือกซื้อหามาใช้สักเครื่อง นอกจากจะพิจารณาเรื่องยี่ห้อแล้ว ใครที่ซื้อเครื่องวิทยุสื่อสารเคยนำคุณลักษณะของเครื่องมาเปรียบเทียบกันหรือไหม เราลองมวดูกันดีกว่าว่ามีคุณลักษณะของเครื่องอะไรบ้างที่เราควรรู้จัก |
|
วิธีอ่านคุณลักษณะของเครื่อง |
||
GENERAL คุณลักษณะทั่วไป |
TRANSMITTER ภาคส่ง |
RECEIVER ภาครับ |
Frequency coverage |
Output power
|
Receive system
|
Mode |
Modulation system |
Intermediate frequancy |
Frequency stability |
Max. Frequancy deviation |
Sensitivity |
Antenna impedance |
Spurious emission |
Squelch sensitivity |
Usable temperature range |
Microphone impedance |
Selectivity |
Turning steps |
Heatsink duty cycle |
Spurious response rejection |
Dial select steps |
|
Audio output power |
Number Of memory channels |
|
Audio output impedance |
Usable battery pack or case |
|
|
External DC power supply |
|
|
Current drain |
|
|
Dimentions |
|
|
Weight |
|
|
เปรียบเทียบ Spacification Mobile Radio
*
ค่า
W (RF) / W (DC)
นั้นคือประสิทธิภาพของการเปลี่ยนไฟฟ้า
DC
เป็น
RF
ซึ่งผมคำนวณมาใส่ให้ดูครับ
อย่าลืมว่าการเลือกซื้อเครื่องวิทยุจะต้องพิจารณาเรื่องความทนทานและบริการหลังการขายด้วยนะครับ
สองข้อหลังนี้ฝรั่งไม่ได้ทดสอบให้
ต้องสอบถามจากเพื่อนสมาชิกผู้ใช้งานเอาเองครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ
บ้างครับ
.....73
ขออธิบายอย่างนี้ครับ เอาแบบที่เข้าใจง่ายๆก็แล้วกัน
1. Sensitivity
(หน่วย uV หรือ dBm
นั้นก็คือค่าเดียวกัน เพียงแต่อ้างอิงคนละหน่วย)
คือค่าความแรงของสัญญาณตำที่สุดที่เครื่องรับ
รับแล้วสามารถให้สัญญาณเสียงออกมาได้ที่ค่ามาตราฐานค่าหนึ่ง
เพื่อที่จะให้เอามาเทียบกันได้ในการวัดแต่ละครั้ง (ที่ปกติเรียกตาม spec
เขียนกันว่า 12 dB@ SINAD)
นั่นคือเครื่องรับจะต้องรับและให้เสียงออกมา
ค่านี้ยิ่งน้อยยิ่งดีแต่ไม่ต้องซีเรียสมากถ้าไม่ได้ตั้งเสาสูงหรือกะจะเอาไปทำ
DX หรือ EME
2. S- meter
sensitivity ตัวนี้ QST
ใช้คำที่ค่อนค้างจะงงๆ จริงๆแล้วคือมันค่าที่บอกว่าเมื่อ
S-meter
ค่าแสดงเท่ากับ 9
แล้วค่าความแรงสัญญาณที่เข้ามาจะเป็นเท่าไหร่
เหตุที่ไม่วัดที่ค่า full scale หรือสูงกว่านี้
ผมเข้าใจว่าแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ เกินจากนี้แล้วอาจจะมีขีดขึ้นไปไม่เท่ากัน
ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็น S9+20 dB, S9+40 dB เสมอก็เลยวัดเอาที่
S9 เจ้าค่าตัวนี้แหละครับที่บอกว่า S-meter
อ่อนหรือแข็ง
ถ้าค่ามากก็จะขึ้นเต็มยากกว่าค่าน้อยเพราะต้องการสัญญาณที่แรงขึ้น
3. Squelch
sensitivity อันนี้คือค่าความแรงสัญญาณที่ต่ำที่สุดที่สามารถตั้งได้และทำให้
Squelch
เปิดมีเสียงออกมาได้
จะต่างจาก sensitivity ข้อที่ 1.
ตรงที่ว่า Sensitivity ในข้อที่1.
นั้นจะต้องรับและให้เสียงออกมาถึงค่ามาตราฐาน แต่ Squlech sensitivity
นั้นวัดเอาแค่ Squelch เปิด
สังเกตได้ว่าค่าของ Squelch sensitivity นั้นจะต่ำกว่า
sensitivity ในข้อ 1.
ตัวนี้ผมคิดว่าค่าน่าจะยิ่งต่ำยิ่งดีเพราะถ้าจะเอาสัญญาณแรงๆ ให้
Squelch เปิดนั้น เราสามารถตั้ง Squelch
ได้อยู่แล้ว
ขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ แล้วจะกลับมาตอบเรื่อง rejection
อีกครั้งหนึ่ง
หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้างนะครับ..73
กลับมาที่เรื่องของ
Rejection
ของเราดีกว่าครับ ความหมายกว้างๆ ของ rejection
ก็คือความสามารถในการกำจัดสัญญาณที่ไม่ต้องการออกไปในวงจรภาครับ
อาจเป็นสัญญาณที่เกิดจากภายนอกหรือสัญญาณที่เกิดจากการทำงานภายในวงจรของเราเองก็ได้
ดังนี้
1. Adjacent channel
rejection
อันนี้หมายถึงความสามารถในการเอาสัญญาณของช่องข้างๆ
กับความถี่ที่เราตั้งไว้ออกไปจากสัญญาณที่เราตั้งใจจะรับ ซึ่งจะวัดที่ 2st
IF เนื่องจากฝรั่งนั้นความห่างระหว่างช่องของเขาไม่เหมือนบ้านเรา
และ band ความถี่ก็กว้างกว่า ดังนั้นเขาจะวัดที่
20KHz ห่างจาก 146.00 MHz
ว่าถ้าตั้งความถี่ไว้ที่ 146.00 แล้วมีสัญญาณส่งมาที่
146.02 MHz แล้วสัญญาณนั้นจะรั่วเข้าไปถึง 2nd IF
ด้วยความแรงที่ลดลงเท่าไหร่
ค่านี้ยิ่งมากยิ่งดีครับ จะป้องกันการกระโดดข้ามช่องเข้ามารบกวนได้ดีขึ้น
ถึงแม้ว่าความถี่และระยะห่างระหว่างช่องที่ทำการทดสอบจะต่างจากการใช้งานในบ้านเราไปบ้าง
แต่ก็พออนุโลมเปรียบเทียบกันไปได้
2. IF rejection
และ Image rejection
อธิบายรวมกันเลยก็แล้วกัน ถ้าใครยังจำข้อสอบสมัยสอบวิทยุสมครเล่นขั้นต้นได้บ้าง
จะนึกออกว่าวิทยุสื่อสาร VHF
ที่เราใช้กันนั้นส่วนใหญเป็นแบบ double coversion Superheterodyne
นั่นคือจะต้องใช้ความถี่จาก local OSC
มาผสมกับสัญญาณที่รับได้ ซึ่งผลที่ได้คือ สัญญาณที่ต้องการ (ความถี่ IF)
และสัญญาณอื่นๆที่เกิดขึ้นแต่เราไม่ต้องการ ตัวอย่างเช่น
ถ้าต้องการรับความถี่ 145.00 MHz และความถี่ 1st IF
คือ 21.7 MHz ดังนั้นความถี่จาก
local OSC ที่จะใช้คือ145.0 + 21.7 = 166.7 MHz
ซึ่งในการทำงานจริงเมื่อ เอาความถี่ 145.0
มารวมกับ 166.7 ก็จะได้ความถี่ 21.7 MHz
และความถี่ขยะอื่นๆ ที่เกิดขึ้น
ซึ่งเราไม่ต้องการและจะต้องไปกรองทิ้ง ก่อนที่จะเอาความถี่ 1st IF
ที่ 21.7 MHz ไปผสมต่อกับกับ 22.155
MHz เพื่อให้ ได้ 2nd IF ที่ 455
KHz ซึ่งก็จะมีความถี่ขยะที่เกิดขึ้นตามมาและต้องกรองทิ้งอีก
ซึ่งในตอนนี้จะรวมถึงความถี่ 1st IF ที่ผ่านเข้ามาด้วย
เอ...ชักจะอธิบายยาวไปหน่อยแล้ว เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ เอาเป็นว่าความสามารถในการลดความถี่ขยะที่กล่าวมาข้างบนนั้นคือ
image rejection
ส่วนความสามารถในการกำจัด 1st IF
ที่รั่วเข้ามาที่ 2nd IF คือ IF rejection
นั่นเอง
ค่าพวกนี้ยิ่งมากยิ่งดีครับเพราะจะกรองสัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้นทิ้งไปได้มากขึ้น
ยิ่งในการรับสัญญาณอ่อนๆ จะเห็นผลได้ชัดเจนมากขึ้น
โดยปกติผู้ผลิตจะระบุไว้ > 70 dB เป็นอย่างน้อย
ซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นกับ se;ectivity ของ
IF filter เป็นหลัก
เพื่อนๆ ลองเปรียบเทียบกันเองนะครับรุ่นไหนเป็นอย่างไร
ส่วนค่าอื่นๆ น่าจะคุ้นเคยกันมาแล้ว
เลือกเครื่องให้เหมาะกับความต้องการของเราเป็นดีที่สุดครับ
ขอแจมความหมายของ Image Rejection ครับ
ต่อจากตัวอย่างที่อธิบายไว้
3.
IF rejection
และ Image rejection
ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการรับความถี่ 145.00 MHz และความถี่
1st IF คือ 21.7 MHz
ดังนั้นความถี่จาก local OSC ที่จะใช้คือ145.0 +
21.7 = 166.7 MHz ซึ่งในการทำงานจริงเมื่อ ...
ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการรับความถี่ 145.00 MHz
และความถี่ 1st IF คือ 21.7 MHz
ดังนั้นความถี่จาก local OSC ที่จะใช้คือ
145.0 + 21.7 = 166.7 MHz
และความถี่ที่ Mixed กับ 166.7 MHz
แล้วจะได้ 21.7 MHz ก็มีอีกคือ
166.7+21.7 = 188.4 MHz ซึ่งเป็นย่านทีวี VHF
ครับ ถ้าหลุดเข้ามาได้จะรบกวนตลอดเวลา(คีย์ยาว มัดหนังติ๊ก) ฉะนั้น
Image Rejection จะได้ดีมีค่าสูงๆ Filter
ในภาค Front-End ต้องออกแบบมาดีๆ
ป้องกันความถี่ Image เข้ามาถึง Mixer
ครับ