ความรู้เบื้องต้นสำหรับการเป็นนักวิทยุสมัครเล่น ระบบพิกัดกริด อุปกรณ์ในการหาแหล่งกำเนิดสัญญาณวิทยุ
ขั้นตอนการดำเนินการออกใบอนุญาตวิทยุคมนาคม สเปกตรัมที่ต้องการของวิทยุสมัครเล่นและวิทยุสมัครเล่นผ่านดาวเทียม  
ภัยจากการใช้วิทยุรับ - ส่ง ประวัติกิจการวิทยุสมัครเล่นในประเทศไทย  
แลมด้า กิจกรรมต่างๆ ของนักวิทยุสมัครเล่น  

 

ความรู้เบื้องต้นสำหรับการเป็นนักวิทยุสมัครเล่น

วิทยุสมัครเล่น คำจำกัดความค่อนข้างจะกว้าง แต่อาจจะพอสรุปได้ว่า

              " กิจการวิทยุคมนาคมที่ดำเนินการโดยพนักงานวิทยุสมัครเล่น ซึ่งได้รับอนุญาตจากทางราชการ เพื่อการฝึกฝนตนเอง การติดต่อระหว่างกัน และการทดลอง ตรวจสอบทางวิชาการวิทยุคมนาคมต่างๆ เพื่อจุดประสงค์ในการเพิ่มพูนความรู้และวิชาการ โดยไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจ หรือการเงิน หรือการเมือง"

              วิทยุสมัครเล่น เป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีคุณค่าต่อการสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้กับประเทศชาติอย่างยิ่ง การเล่นวิทยุฝึกให้คนมีวินัย ฝึกหัวใจให้แกร่ง ฝึกสมองให้ไว ให้กระตือรือร้น ค้นคว้าด้วยตนเอง มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิด กล้าแสดงออก จิตใจเปิดกว้างต่อสังคม ปรับตัวให้เข้ากับความแตกต่าง อย่างเปิดเผย และมีอัธยาศัยไมตรีอย่างอบอุ่น เพิ่มพูนความรู้ความสนใจทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาตนเอง และ ประเทศชาติต่อไป

              ปัจจุบันนี้กิจการวิทยุสมัครเล่นเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งที่ให้ความสนุกสนานและความรู้ โดยคนทั่วโลกกว่าล้านคน เป็นความตื่นเต้นบนการสื่อสารที่จะสร้างสถานีในการติดต่อสื่อสารกับนักวิทยุสมัครเล่นคนอื่นๆ ซึ่งทำให้งานอดิเรกแบบนี้ก่อให้เกิดการทดลองและความคิดใหม่ๆเพื่อการพัฒนาความรู้และสร้างเพื่อนใหม่ให้กับตัวเอง
              การติดต่อของนักวิทยุสมัครเล่นต้องผ่านการสอบจากหน่วยงานทางด้านโทรคมนาคมของแต่ละประเทศ ซึ่งการสื่อสารที่เป็นงานอดิเรกของนักวิทยุสมัครเล่นไม่เป็นเพียงแต่นั่งคุยหรือยืนคุยไปวันๆ เท่านั้น

               - พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดด้วยรหัสมอร์สหรือเสียงพูดกับนักวิทยุสมัครเล่นทั่วโลกได้ด้วยความถี่ย่าน HF
               - การสื่อสารผ่านดาวเทียมของนักวิทยุสมัครเล่น
               - การติดต่อแบบสะท้อนดวงจันทร์ Earth Moon Earth
               - การส่งข้อความสื่อสารผ่านระบบ RTTY (Radioteletype)
               - การรับ-ส่ง ภาพผ่านวิทยุสื่อสารด้วยระบบ SSTV (Slow scan television)
               - การบริการสังคม และช่วยเหลือประเทศชาติยามเกิตุเหตุฉุกเฉิน
               - การสื่อสารยุคดิจิตอลผ่านระบบ Packet radio คล้ายกับการส่ง E-mail หรือ Webboard ของระบบอินเตอร์เน็ตและสามารถเชื่อมต่อกันได้ด้วยคอมพิวเตอร์

วัตถุประสงค์ของนักวิทยุสมัครเล่น

          กิจการวิทยุสมัครเล่น มีวัตถุประสงค์เพื่อ เสริมสร้างประโยชน์ต่อสังคมและความปลอดถัยของชาติใช้
เป็นข่ายสื่อสารสาธารณะสำรองในยามฉุกเฉินหรือเกิดภัยพิบัติ พัฒนาความรู้ด้านวิชาการสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุ ฝึกฝนพนักงานวิทยุให้มีความรู้ความชำนาญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพิ่มพูนจำนวนพนักงานวิทยุสำรองไว้ใช้ประโยชน์ยามฉุก
เฉิน สร้างชื่อเสียงของประเทศให้เป็นที่รู้จักในวงการวิทยุระหว่างประเทศ

 บัญญัติ 6 ประการที่นักวิทยุสมัครเล่นสมควรรู้

   1..คำนึงถึงผู้อื่น เขาจะไม่ใช้การออกอากาศ ในลักษณะที่ตั้งใจไปลดทอนความพึงพอใจของผู้อื่น

   2. มีความรักต่อกิจการ เขาจะมอบความจริงใจ ให้การส่งและสนับสนุนแก่เพื่อนนักวิทยุสมัครเล่น แก่ชมรม   แก่สมาคม

   3. รักความก้าวหน้า มีความรู้ที่ทันสมัย มีการพัฒนาสถานีให้มีประสิทธิภาพ

   4. มีอัธยาศัยดี เขายินดีที่จะส่งข้อความอย่างช้าๆ และอารมณ์เย็น ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเอื้ออารี  และให้ความสนใจผู้อื่น

   5. มีดุลยภาพ วิทยุสมัครเล่นเป็นงานอดิเรก ซึ่งจะไม่รบกวนภาระหน้าที่ใดๆ ที่มีต่อครอบครัว อาชีพ  สถาบันต่างๆ หรือความสัมพันธ์ที่มีต่อชุมชน

   6. มีความรักชาติ พร้อมที่จะใช้ความรู้ความสามารถ เพื่อประเทศชาติและชุมชนเสมอ

     QSO กันอย่างไรดี

          ปัจจุบัน การสนทนาหรือ QSO ของ ชาววิทยุสมัครเล่นเปลี่ยนไปมาก จนทำให้นักวิทยุสมัครเล่นหน้าเก่าๆ เริ่มหายไปเพราะความเบื่อ กันมากขึ้น ซึ่งก็มีด้วยหลายสาเหตุ เช่น มีการกดคีย์ทับกันบ้าง มีการพูดภาษาไม่สุภาพ บ้าง ละเลยเพื่อนสมาชิกบ้าง เราลองมา ทบทวนกันดีกว่า เราควรทำอยากไรกันบ้างขณะที่ QSO

   1. ฟังให้มาก ไม่ควรให้เสียงรบกวนใดๆ เล็ดลอดไป กับความถี่ ตรวจสอบก่อนกดคีย์ ออกอากาศ  ไม่ใช่เสียงแบคกราวด์ ดังกว่าเสียงเราแล้วให้เพื่อนสมาชิกตะแคงหูฟัง

   2. กะจังหวะ คู่สถานีที่เราเรียกหาว่า พร้อมที่จะมาสนทนากับเรา

   3. เรียกช่วงสั้นๆ เว้นช่องว่าง เพื่อฟังคำตอบ สัก 3 ครั้งกำลังดี ไม่ช้าไม่เร็วเกินไปด้วย

   4. กดคีย์ให้แน่น ปากชิดไมค์ ไม่ตะโกน เสียงจะเพราะดูสวยดูหล่อ

   5. จดสัญญาณเรียกขาน ของเพื่อนไว้จะได้ไม่ลืม

   6. พูดให้ ติดต่อ ไม่สับสน สั้นๆได้ใจความ

   7. สนทนาสบายๆ ให้เป็นธรรมชาติ ไม่เสแสร้ง ดัดเสียง ปราศจากเรื่องส่วนตัว ไม่โอ้อวด สุภาพ
       พูดถูกกาละ และเทศะ

   8. ควรตรวจดูว่าก่อนเรียกขาน มีผู้ใดใช้ความถึ่ อยู่ก่อนหรือเปล่า ฟังสักพักให้แน่ใจหรือสอบถาม
        มีท่านใดใช้ความถี่อยู่หรือไม่ โดยการสอบถามว่า"มีเพื่อนสมาชิกสถานีใดใช้ความถี่อยู่หรือไม่
         จาก HS ,E2... " ถ้าไม่มีเสียงใดตอบ แสดงว่าว่างเราถึงเรียกขานเพื่อนสมาชิก

   9. เมื่อตอบรับ ต้องชัดเจน เช่น HS..... E2 ...... ตอบค่ะ (ครับ) อย่า ตอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่น่าดูเลย

   10. อย่าใจร้อน เช่น ถ้า ก. เรียก ข. อยู่ ค อยากคุยด้วย ยังไม่สมควรที่จะเรียก ก.เข้าไปรอให้เขา clear
          หรือ stand by ก็แล้วค่อยเรียกก็ได้

   11. ถ้าจะขอเข้า ร่วมสนทนา อย่าลืมแจ้งนามเรียกขาน อย่า แท็กค์ๆๆๆ หรือเบรคๆๆๆ อย่างเดียวเลย

   12. อย่าเป็นเสือปืนไว เว้นช่องว่างให้เพื่อนผูงได้คอนแท็กค์บ้าง เป็นการเอื้อเฟื้อ

   13. คำฟุ่มเฟือย ไร้ความหมายอย่าใช้ โล เจ้อ คับ หรือ XYL เขาใช้กันทั่วโลก ทำไม๊เมืองไทยใช้ X-Ray
          หรือจะพูดว่าว่าขับรถ แต่กลับใช้ drive mobile แถม QRD ไปทางซ้าย QRD ไปทางขวา
         ไม่มีนะเคัาใช้กับท่าเรือนะ QTR อีกคำชอบใช้กันเหลือเกิน ผมจะไปหาท่าน ตอน QTR 13.00 QTR
         นี้ผมไม่ว่าง QTR หมายถึงขณะนี้เวลาเท่าไรจ้า

   14. การค้า การเมือง เรื่องศาสนา อย่านำมาพูดมีเรื่องพูดอีกตั้งเยอะ

   15. ความลับไม่มีในอากาศ จงอย่าพลาด จะให้ดีต้องทางโทรศัพท์นะ

   16. เราควรพัฒนาการใช้สายอากาศดีกว่าการเพิ่มกําลังส่ง เพราะมิฉะนั้นแล้วสัญญาณของเราอาจจะไปรบกวน
          เพื่อนสมาชิก ที่ใช้อยู่ข้างช่องหรือแม้กระทั่งข้างบ้านได้ เพราะระยะหลังกรมไปรษณียประกาศใช้ความถี่
          ช่องห่าง12.5พื่อนสมาชิกบาง สถานีเมื่อใช้ช่องความถี่ติดกันเกิดQSOแล้วมีเสียงลอดข้ามช่อง เลยต่างเพิ่ม
          กําลังส่งเพื่อที่จะให้คู่สถานีรับสัญญาณได้ ก็เลยกลายเป็นว่าไม่เกิดความสามัคคีกัน

 

การรายงานสัญญาณด้วยระบบ RST (RST System)

              เพื่อตรวจสอบว่าว่าสภาพสัญญาณ ที่ขณะทำการติดต่อสื่อสารเป็นอย่างไร ชัดเจนเพียงใด พร้อมจะติดต่อกันหรือไม่ ควรจะปรับปรุงอย่างไรเพื่อให้สัญญาณดีขึ้น การรายงานสัญญาณด้วยระบบ RST คือการรายงานคุณภาพและความแรงของสัญญาณ ซึ่งเป็นที่นิยมโดยทั่วไปในกิจการวิทยุสมัครเล่น

 

R (Readability)

S (Signal Strength)

T (Tone)

ความชัดเจนการรับฟังข้อความมี 5 ระดับ

ความแรงของสัญญาณที่รับได้มี 9 ระดับ

ความแจ่มใสของเสียงสัญญาณวิทยุฯ มี 9 ระดับ

1.รับไม่ได้เลย

1.อ่อนมากจนรับแทบไม่ได้

1.เสียงพร่ามาก มีความถี่ต่ำผสมมาด้วย

2.ไม่ค่อยดี(แทบรับไม่ได้เลย)

2.อ่อนมาก

2.เสียงพร่ามาก

3.พอใช้

3.อ่อน

3.เสียงพร่าเหมือนใช้แรงดันไฟที่ไม่มีการกรอง

4.ดี

4.พอใช้ได้

4.เสียงพร่าและยังกระเพื่อมอยู่

5.ดีเยี่ยม

5.ดีพอใช้

5.เสียงยังกระเพื่อมอยู่มาก

 

6.ดี

6.เสียงยังกระเพื่อมอยู่เล็กน้อย

 

7.แรงปานกลาง

7.เกือบดี ยังกระเพื่มอยู่บ้าง

 

8.แรงดี

8.เกือบดีแล้ว

 

9.แรงดีมาก

9.ดีมากไม่มีตำหนิ

 

            แต่เนื่องจากการติดต่อระบบวิทยุโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณวิทยุโทรเลข จึงตัดการรายงาน T (Tone) ทิ้งไป เรียกว่าระบบ RS นิยมดูค่า S จาก S-Meter ของเครื่องรับวิทยุ ซึ่งมีสเกลจาก 1 ถึง 9

ตัวอย่าง
            
รายงานสัญญาณในระบบ RS เป็น 59 หมายความว่ารับฟังข้อความได้ดีเยี่ยมและมีความแรงสัญญาณดีมาก รายงานสัญญาณในระบบ RS เป็น 35 หมายความว่ารับฟังข้อความได้แต่ด้วยความลำบากมากและมีสัญญาณแรงดีพอใช้

หลักเกณฑ์การใช้ความถี่วิทยุสำหรับกิจการวิทยุสมัคเล่น
            1. ให้ยกเลิกช่องเรียกขานเดิมตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลข ได้กำหนดให้ใช้เป็นช่องเรียกขานประจำสถานีวิทยุสมัครเล่นควบคุมข่ายและความถี่เฉพาะกิจที่ได้รับอนุญาต จังหวัดต่างๆ ทั้งหมด และให้ใช้ ความถี่ที่ประกาศไว้
            2.
ความถี่ที่กำหนดให้ใช้สำหรับช่องเรียกขานและแจ้งเหตุฉุกเฉิน ใช้ความถี่ 145.0000 MHz ใช้เหมือนกันทั่วประเทศซึ่งมีจุดประสงค์สำหรับ
                2.1
เรียกขานเพื่อต้องการติดต่อสื่อสาร ปกติมีการเรียกอยู่ 2 วิธี
                        -
เรียกแบบเจาะจงสถานี
                        -
เรียกแบบไม่เจาะจงสถานี
                2.2
เรียกขานเพื่อแจ้งเหตุฉุกเฉิน (เฉพาะเหตุฉุกเฉินเท่านั้น)
                        -
เรียกแบบเจาะจงสถานี เช่น เรียกสถานีควบคุมข่ายในจังหวัดนั้นๆ
                        -
เรียกแบบไม่เจาะจงสถานี ขึ้นต้นด้วย MAYDAY MAYDAY MAYDAY (MAYDAY 3 ครั้ง)
                2.3
รอรับฟังการเรียกขานและแจ้งเหตุฉุกเฉิน

            ดังนั้นนักวิทยุสมัครเล่นทุกคนจึงควรสแตนด์บายที่ช่องเรียกขาน 145.0000 MHz นี้ เพื่อ
                        -
สามารถเรียกขานได้ง่าย ไม่ต้องติดตามว่าใครจะอยู่ช่องใด
                        -
สามารถทราบได้ว่ามีใครแจ้งเหตุฉุกเฉินอะไร ซึ่งท่านอาจมีส่วนช่วยได้
                        -
เมื่อเรียกขานได้แล้ว จึงเปลี่ยนไปใช้ความถี่ที่กำหนดให้ สำหรับช่องสื่อสาร
            3.
ความถี่ที่กำหนดให้ใช้สำหรับ เรียกขานและแจ้งเหตุทั่วไป 144.9000 MHz แจ้งเหตุทั่วไปที่ไม่ใช้เหตุฉุกเฉิน เช่น ข่าวการจราจรติดขัด เหตุไฟฟ้าขัดข้อง ท่อประปาแตก เป็นต้น
สำหรับช่องความถี่อื่นๆซึ่งแบ่งประเภทของการใช้งาน

การแบ่งย่านความถี่วิทยุสมัครเล่นในประเทศไทย

HF(สำหรับนักวิทยุสมัครเล่นขั้นกลาง)
VHF (
สำหรับนักวิทยุสมัครเล่นขั้นต้น)
UHF (
วิทยุสมัครเล่นผ่านดาวเทียม)

7 MHZ,14 MHz,21 MHz,28 MHz
144 - 146 MHz
435 MHz

 

หลักปฏิบัติในการติดต่อสื่อสารสำหรับนักวิทยุสมัคเล่น
              1.การเรียกขานเพื่อการติดต่อแบบปกติ

              1.1 ก่อนการเรียกทุกครั้งควรหาความถี่ว่างไว้ก่อน โดยการลด SQUELCH แล้วเฝ้าฟังอยู่สักระยะ จนแน่ใจว่าความถี่ว่าง
              1.2
ปรับความถี่ไปที่ 145.0000 MHz ฟังให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดใช้อยู่ เมื่อแน่ใจว่าความถี่ว่าง จึงเริ่มต้นเรียกขานได้ มี 2 ลีกษณะคือ
                   -
การเรียกแบบเจาะจงสถานี โดย พูด "สัญญาณเรียกขานของผู้ถูกเรียก" ตามด้วย "จาก" "สัญญาณเรียกขานของผู้เรียก"
                         
เช่น HS3OCY จาก HS3PMT (โฮ-เทล เซีย-ร่า ธรี ออสก้า ชาลี แยงกี้ จาก โฮ-เทล เซีย-ร่า ธรี ปาป้า ไม้ก์ แทงโก้)
การเรียกควรอ่านออกเสียงแบบ Phonetic Alphabet เพื่อป้องกันการสับสน และในการเรียกแต่ละคราว ควรเรียกไม่เกิน 3 ครั้ง และเมื่อสถานีที่ถูกเรียก ตอบรับแล้ว จึงเปลี่ยนไปใช้ความถี่ ที่ได้เตรียมไว้
ในกรณีที่เรียกแล้ว ไม่ได้รับการตอบ เมื่อเรียกครบ 3 ครั้ง ผู้เรียกจะต้องบอกเคลียร์ความถี่(บอกเลิกใช้ความถี่)  ทิ้งระยะเวลาพอสมควร แล้วจึงเรียกใหม่
                   -
การเรียกแบบไม่เจาะจงสถานี (ใครรับสัญญษณได้ ช่วยตอบด้วย) โดย พูด "CQ"(ไม่เกิน 3 ครัง) "จาก" "สัญญาณเรียกขานของผู้เรียก" เช่น CQ CQ CQ จาก HS3PMT (ซีคิว ซีคิว ซีคิว จาก โฮ-เทล เซีย-ร่า ธรี ปาป้า ไม้ก์ แทงโก )เมื่อมีสถานีใดสถานีหนึ่งตอบมา จึงเปลี่ยนไปใช้ความถี่ ที่ได้เตรียมไว้
            
ในกรณีที่เรียกแล้ว ไม่ได้รับการตอบ เมื่อเรียกครบ 3 ครั้ง ผู้เรียกจะต้องบอกเคลียร์ความถี่(บอกเลิกใช้ความถี่)  ทิ้งระยะเวลาพอสมควร แล้วจึงเรียกใหม่

               2.การเรียกขานเพื่อแจ้งเหตุทั่วไป
           ใช้หลักการเรียกขานเหมือนกับ การเรียกขานเพื่อการติดต่อแบบปกติ โดยปรับความถี่ไปที่ 144.9000 MHz หรือ สามารถขอความช่วยเหลือ จากสถานีของเพื่อนสมาชิกในช่องความถี่อื่นก็ได

               3.การเรียกขานเพื่อแจ้งเหตฉุกเฉิน
            เป็นเหตุที่มีอันตรายต่อชัวิตและทรัพย์สิน และต้องการความช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน เรียกโดยใช้คำว่า MAYDAY MAYDAY MAYDAY (MAYDAY 3 ครั้ง) ตามด้วย Call Sign ของผู้แจ้ง หากไม่มีผู้รับแจ้ง ก็สามารถไปแจ้งช่องใดก็ได้จนกว่าจะมีผู้รับแจ้ง
           
 การแจ้งเหตุฉุกเฉินเป็นการส่งข่าวที่มีความสำคัญเหนือการติดต่อสื่อสารอื่นๆทั้งหมด ดังนั้นสถานีอื่นที่ได้ยินสัญญาณแจ้งเหตุ ให้หยุดการส่งสัญญาณทันที เพื่อช่วยเหลือและให้คำแนะนำ โดยต้องไม่ทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวาง จนกว่าการแจ้งเหตุนั้นจะแล้วเสร็จ

การเช็คเน็ท
            การเช็คเน็ท เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน โดยความหมายของการเช็คเน็ท คือ
                -
การนัดเวลาของกลุ่มสมาชิก ที่พร้อมที่จะทำการติดต่อสื่อสารกัน ตามวัตถุประสงค์ ของกิจการวิทยุสมัครเล่น
                -
เป็นการประกาศให้ทราบว่ายังใช้เครื่องวิทยุคมคนาคมในการออกอากาศอยู่
                -
เพื่อทดสอบการรับ-ส่ง สัญญาณว่าสามารถไปได้ดีเพียงใด
                -
การนัดหมายเพื่อรับทราบข้อมูลข่าวสารจากสถานีที่ทำการเช็คเน็ท
            
โดยปกติ การเช็คเน็ท อาจนัดหมายไปทำการเช็คเน็ทที่ช่องใดก็ได้ หรือสถานที่ทำการเช็คเน็ทสามารถหมุนเวียนได้ตามแต่จะเห็นสมควร เพื่อให้มีการฝึกฝนการทำหน้าที่สถานีวิทยุสมัครเล่นควบคุมข่าย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในกรณีที่เกิดความจำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ได

ภาษาที่ใช้ ในการติดต่อสื่อสาร
            เนื่องด้วยการติดต่อสื่อสารทางวิทยุ เป็นการติดต่อที่ผู้อื่นสามารถรับฟังได้เป็นจำนวนมาก มีทั้งหน่วยงานราชการ และนักวิทยุสมัครเล่นด้วยกัน ดังนั้น ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร จึงใช้ภาษาธรรมดา โดยใช้ถ้อยคำสุภาพ พูดให้ชัดเจน ในกรณีที่เป็นสัญญษณเรียกขาน การเรียกครั้งแรก ควรใช้หลักการอ่านออกเสียง แบบ Phonetic Alphabet หรือบางข้อความอาจใช้คำย่อ ที่ใช้ในกิจการวิทยุสมัครเล่นสากล เป็นข้อความสั้นๆกระทัดรัด และข้อความที่ใช้ในการติดต่อ ให้จำกัดเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับการทดลองทางด่านวิชาการ และการแจ้งเหตุที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม พร้อมทั้งต้องศึกษาในข้อห้าม แห่งระเบียบรวมทั้งกฏหมาย และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง การติดต่อข้อความส่วนตัว ให้จำกัดให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับด้านธุรกิจ เป็นเรื่องที่ต้องห้ามเด็ดขาด และห้ามส่งข่าวไปยังบุคคลที่สาม อีกทั้งห้ามส่งข้อความ เข้าโค้ดหรือรหัส ที่ผู้อื่นไม่สามารถเข้าใจได้ มาใช้ในการติดต่อสื่อสารอย่างเด็ดขาด

สัญญาณเรียกขาน (Call Sign)

ข้อกำหนดของสัญญานเรียกขาน
ตามกฎข้อบังคับ วิทยุระหว่างประเทศกำหนด ให้สถานีวิทยุคมนาคม ให้สัญญาณเรียกขาน (Call Sign) เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งจะทำให้ทราบว่าเป็นสัญญาณมาจากสถานีใด เป็นสถานีในกิจการประเภทใด และเป็นของประเทศใด หรืออยู่ในพื้นที่ใดของประเทศ เช่น HSA - HAZ และ E2A - E2Z คืออักษรขึ้นต้นสัญญาณ เรียกขานระหว่างประเทศสำหรับ ประเทศไทย เป็นต้น กรมไปรษณีย์โทรเลข จะเป็นผู้กำหนดสัญญาณเรียกขาน

สำหรับนักวิทยุสมัครเล่นในประเทศไทย โดยใช้รูปแบบที่ระบุ ในข้อบังคับวิทยุระหว่างประเทศ และกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้

HSn X
HSn XX
HSn XXX



จากรหัสข้างต้นนั้น มีความหมายตาม อักษรดังนี้

HS หมายถึง ระบุว่าเป็นประเทศไทย ตามข้อบังคับวิทยุระหว่างประเทศ เป็นรหัสเก่า ที่ยังเหลือใช้อยู่
n หมายถึง ตัวเลข 0 ถึง 9 ใช้ระบุว่าอยู่ในเขตพื้นที่ใดของประเทศไทย
พยัญชนะ 1 ตัว หรือ 2 ตัว หรือ 3 ตัว มีรายละเอียดดังนี้
X - ใช้สำหรับระดับ VIP สูงสุดของประเทศ
XX - ใช้เรียงตามลำดับจาก AA - ZZ ยกเว้น AA - AZ ซึ่งสำรองไว้สำหรับสถานีกรณีพิเศษ เช่น สถานีทวนสัญญาณ (beacon), สถานีของชมรม หรือสมาคม (Club Station) และ สถานีชั่วคราวเฉพาะกิจ และยกเว้น CQ, HS
XXX - ใช้เรียงตามลำดับจาก AAA - ZZZ ยกเว้น DDD ,QAA - QZZ , SOS และ TTT


E2n X
E2n XX
E2n XXX

จากรหัสข้างต้นนั้น มีความหมายตาม อักษรดังนี้

E2 หมายถึง ระบุว่าเป็นประเทศไทย ตามข้อบังคับวิทยุระหว่างประเทศ เป็นรหัสใหม่ ทีมีใช้กันแล้ว ในบางพื้นที่
n หมายถึง ตัวเลข 0 ถึง 9 ใช้ระบุว่าอยู่ในเขตพื้นที่ใดของประเทศไทย
พยัญชนะ 1 ตัว หรือ 2 ตัว หรือ 3 ตัว มีรายละเอียดดังนี้
X - ใช้สำหรับระดับ VIP สูงสุดของประเทศ
XX - ใช้เรียงตามลำดับจาก AA - ZZ ยกเว้น AA - AZ ซึ่งสำรองไว้สำหรับสถานีกรณีพิเศษ เช่น สถานีทวนสัญญาณ (beacon), สถานีของชมรม หรือสมาคม (Club Station) และ สถานีชั่วคราวเฉพาะกิจ และยกเว้น CQ, HS
XXX - ใช้เรียงตามลำดับจาก AAA - ZZZ ยกเว้น DDD ,QAA - QZZ , SOS และ TTT



การแบ่งเขตสัญญาณเรียกขานในประเทศ

สัญญาณเรียกขานแบ่งกลุ่มตามพื้นที่

1. สัญญาณเรียกขาน "HS1 XXX" และ HS0 XXX" มี 10 จังหวัด
กรุงเทพมหานคร ชัยนาท นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สมุทรปราการ สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง

2. สัญญาณเรียกขาน "HS2 XXX" มี 7 จังหวัด
จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง

3. สัญญาณเรียกขาน "HS3 XXX" มี 7 จังหวัด
ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ยโสธร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี

4. สัญญาณเรียกขาน "HS4 XXX" มี 10 จังหวัด
กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครพนม มุกดาหาร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด เลย สกลนคร นองคาย อุดรธานี

5. สัญญาณเรียกขาน "HS5 XXX" มี 9 จังหวัด
เชียงราย เชียงใหม่ น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน อุตรดิตถ์

6. สัญญาณเรียกขาน "HS6 XXX" มี 8 จังหวัด
กำแพงเพชร ตาก นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุทัยธานี

7. สัญญาณเรียกขาน "HS7 XXX" มี 8 จังหวัด
กาญจนบุรี นครปฐม ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี

8. สัญญาณเรียกขาน "HS8 XXX" มี 7 จังหวัด
กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช พังงา ภูเก็ต ระนอง สุราษฎร์ธานี

9. สัญญาณเรียกขาน "HS9 XXX" มี 7 จังหวัด
ตรัง นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สงขลา สตูล


สัญญาณเรียกขานใหม่

การแบ่งเขตนามเรียกขานใหม่

เขต 1 HS0, HS1 ใช้สัญญาณเรียกขาน E20 E21 E22 E23 E24 E25 E26
เขต 2 HS2 ใช้สัญญาณเรียกขาน E27
เขต 3 HS3 ใช้สัญญาณเรียกขาน E27
เขต 4 HS4 ใช้สัญญาณเรียกขาน E27
เขต 5 HS5 ใช้สัญญาณเรียกขาน E28
เขต 6 HS6 ใช้สัญญาณเรียกขาน E28
เขต 7 HS7 ใช้สัญญาณเรียกขาน E29
เขต 8 HS8 ใช้สัญญาณเรียกขาน E29
เขต 9 HS9 ใช้สัญญาณเรียกขาน E29

 

Table of Allocation of International Call Sign Series

 

Call Sign Series

Allocated to

AAA-ALZ

United States of America

AMA-AOZ

Spain

APA-ASZ

Pakistan (Islamic Republic of)

ATA-AWZ

India (Republic of)

AXA-AXZ

Australia

AYA-AZZ

Argentine Republic

A2A-A2Z

Botswana (Republic of)

A3A-A3Z

Tonga (Kingdom of)

A4A-A4Z

Oman (Sultanate of)

A5A-A5Z

Bhutan (Kingdom of)

A6A-A6Z

United Arab Emirates

A7A-A7Z

Qatar (State of)

A8A-A8Z

Liberia (Republic of)

A9A-A9Z

Bahrain (State of)

BAA-BZZ

China (People's Republic of)

CAA-CEZ

Chile

CFA-CKZ

Canada

CLA-CMZ

Cuba

CNA-CNZ

Morocco (Kingdom of)

COA-COZ

Cuba

CPA-CPZ

Bolivia (Republic of)

CQA-CUZ

Portugal

CVA-CXZ

Uruguay (Eastern Republic of)

CYA-CZZ

Canada

C2A-C2Z

Nauru (Republic of)

C3A-C3Z

Andorra (Principality of)

C4A-C4Z

Cyprus (Republic of)

C5A-C5Z

Gambia (Republic of the)

C6A-C6Z

Bahamas (Commonwealth of the)

* C7A-C7Z

World Meteorological Organization

C8A-C9Z

Mozambique (Republic of)

DAA-DRZ

Germany (Federal Republic of)

DSA-DTZ

Korea (Republic of)

DUA-DZZ

Philippines (Republic of the)

D2A-D3Z

Angola (Republic of)

D4A-D4Z

Cape Verde (Republic of)

D5A-D5Z

Liberia (Republic of)

D6A-D6Z

Comoros (Islamic Federal Republic of the)

D7A-D9Z

Korea (Republic of)

EAA-EHZ

Spain

EIA-EJZ

Ireland

EKA-EKZ

Armenia (Republic of)

ELA-ELZ

Liberia (Republic of)

EMA-EOZ

Ukraine

EPA-EQZ

Iran (Islamic Republic of)

ERA-ERZ

Moldova (Republic of)

ESA-ESZ

Estonia (Republic of)

ETA-ETZ

Ethiopia (Federal Democratic Republic of)

EUA-EWZ

Belarus (Republic of)

EXA-EXZ

Kyrgyz Republic

EYA-EYZ

Tajikistan (Republic of)

EZA-EZZ

Turkmenistan

E2A-E2Z

Thailand

E3A-E3Z

Eritrea

** E4A-E4Z

Palestinian Authority

E5A-E5Z

New Zealand - Cook Islands

E7A-E7Z

Bosnia and Herzegovina (Republic of)

FAA-FZZ

France

GAA-GZZ

United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland

HAA-HAZ

Hungary (Republic of)

HBA-HBZ

Switzerland (Confederation of)

HCA-HDZ

Ecuador

HEA-HEZ

Switzerland (Confederation of)

HFA-HFZ

Poland (Republic of)

HGA-HGZ

Hungary (Republic of)

HHA-HHZ

Haiti (Republic of)

HIA-HIZ

Dominican Republic

HJA-HKZ

Colombia (Republic of)

HLA-HLZ

Korea (Republic of)

HMA-HMZ

Democratic People's Republic of Korea

HNA-HNZ

Iraq (Republic of)

HOA-HPZ

Panama (Republic of)

HQA-HRZ

Honduras (Republic of)

HSA-HSZ

Thailand

HTA-HTZ

Nicaragua

HUA-HUZ

El Salvador (Republic of)

HVA-HVZ

Vatican City State

HWA-HYZ

France

HZA-HZZ

Saudi Arabia (Kingdom of)

H2A-H2Z

Cyprus (Republic of)

H3A-H3Z

Panama (Republic of)

H4A-H4Z

Solomon Islands

H6A-H7Z

Nicaragua

H8A-H9Z

Panama (Republic of)

IAA-IZZ

Italy

JAA-JSZ

Japan

JTA-JVZ

Mongolia

JWA-JXZ

Norway

JYA-JYZ

Jordan (Hashemite Kingdom of)

JZA-JZZ

Indonesia (Republic of)

J2A-J2Z

Djibouti (Republic of)

J3A-J3Z

Grenada

J4A-J4Z

Greece

J5A-J5Z

Guinea-Bissau (Republic of)

J6A-J6Z

Saint Lucia

J7A-J7Z

Dominica (Commonwealth of)

J8A-J8Z

Saint Vincent and the Grenadines

KAA-KZZ

United States of America

LAA-LNZ

Norway

LOA-LWZ

Argentine Republic

LXA-LXZ

Luxembourg

LYA-LYZ

Lithuania (Republic of)

LZA-LZZ

Bulgaria (Republic of)

L2A-L9Z

Argentine Republic

MAA-MZZ

United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland

NAA-NZZ

United States of America

OAA-OCZ

Peru

ODA-ODZ

Lebanon

OEA-OEZ

Austria

OFA-OJZ

Finland

OKA-OLZ

Czech Republic

OMA-OMZ

Slovak Republic

ONA-OTZ

Belgium

OUA-OZZ

Denmark

PAA-PIZ

Netherlands (Kingdom of the)

PJA-PJZ

Netherlands (Kingdom of the) - Netherlands Antilles

PKA-POZ

Indonesia (Republic of)

PPA-PYZ

Brazil (Federative Republic of)

PZA-PZZ

Suriname (Republic of)

P2A-P2Z

Papua New Guinea

P3A-P3Z

Cyprus (Republic of)

P4A-P4Z

Netherlands (Kingdom of the) - Aruba

P5A-P9Z

Democratic People's Republic of Korea

RAA-RZZ

Russian Federation

SAA-SMZ

Sweden

SNA-SRZ

Poland (Republic of)

SSA-SSM

Egypt (Arab Republic of)

SSN-STZ

Sudan (Republic of the)

SUA-SUZ

Egypt (Arab Republic of)

SVA-SZZ

Greece

S2A-S3Z

Bangladesh (People's Republic of)

S5A-S5Z

Slovenia (Republic of)

S6A-S6Z

Singapore (Republic of)

S7A-S7Z

Seychelles (Republic of)

S8A-S8Z

South Africa (Republic of)

S9A-S9Z

Sao Tome and Principe (Democratic Republic of)

TAA-TCZ

Turkey

TDA-TDZ

Guatemala (Republic of)

TEA-TEZ

Costa Rica

TFA-TFZ

Iceland

TGA-TGZ

Guatemala (Republic of)

THA-THZ

France

TIA-TIZ

Costa Rica

TJA-TJZ

Cameroon (Republic of)

TKA-TKZ

France

TLA-TLZ

Central African Republic

TMA-TMZ

France

TNA-TNZ

Congo (Republic of the)

TOA-TQZ

France

TRA-TRZ

Gabonese Republic

TSA-TSZ

Tunisia

TTA-TTZ

Chad (Republic of)

TUA-TUZ

Côte d'Ivoire (Republic of)

TVA-TXZ

France

TYA-TYZ

Benin (Republic of)

TZA-TZZ

Mali (Republic of)

T2A-T2Z

Tuvalu

T3A-T3Z

Kiribati (Republic of)

T4A-T4Z

Cuba

T5A-T5Z

Somali Democratic Republic

T6A-T6Z

Afghanistan (Islamic State of)

T7A-T7Z

San Marino (Republic of)

T8A-T8Z

Palau (Republic of)

UAA-UIZ

Russian Federation

UJA-UMZ

Uzbekistan (Republic of)

UNA-UQZ

Kazakhstan (Republic of)

URA-UZZ

Ukraine

VAA-VGZ

Canada

VHA-VNZ

Australia

VOA-VOZ

Canada

VPA-VQZ

United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland

VRA-VRZ

China (People's Republic of) - Hong Kong

VSA-VSZ

United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland

VTA-VWZ

India (Republic of)

VXA-VYZ

Canada

VZA-VZZ

Australia

V2A-V2Z

Antigua and Barbuda

V3A-V3Z

Belize

V4A-V4Z

Saint Kitts and Nevis

V5A-V5Z

Namibia (Republic of)

V6A-V6Z

Micronesia (Federated States of)

V7A-V7Z

Marshall Islands (Republic of the)

V8A-V8Z

Brunei Darussalam

WAA-WZZ

United States of America

XAA-XIZ

Mexico

XJA-XOZ

Canada

XPA-XPZ

Denmark

XQA-XRZ

Chile

XSA-XSZ

China (People's Republic of)

XTA-XTZ

Burkina Faso

XUA-XUZ

Cambodia (Kingdom of)

XVA-XVZ

Viet Nam (Socialist Republic of)

XWA-XWZ

Lao People's Democratic Republic

XXA-XXZ

Portugal

XYA-XZZ

Myanmar (Union of)

YAA-YAZ

Afghanistan (Islamic State of)

YBA-YHZ

Indonesia (Republic of)

YIA-YIZ

Iraq (Republic of)

YJA-YJZ

Vanuatu (Republic of)

YKA-YKZ

Syrian Arab Republic

YLA-YLZ

Latvia (Republic of)

YMA-YMZ

Turkey

YNA-YNZ

Nicaragua

YOA-YRZ

Romania

YSA-YSZ

El Salvador (Republic of)

YTA-YUZ

Serbia

YVA-YYZ

Venezuela (Republic of)

Y2A-Y9Z

Germany (Federal Republic of)

ZAA-ZAZ

Albania (Republic of)

ZBA-ZJZ

United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland

ZKA-ZMZ

New Zealand

ZNA-ZOZ

United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland

ZPA-ZPZ

Paraguay (Republic of)

ZQA-ZQZ

United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland

ZRA-ZUZ

South Africa (Republic of)

ZVA-ZZZ

Brazil (Federative Republic of)

Z2A-Z2Z

Zimbabwe (Republic of)

Z3A-Z3Z

The Former Yugoslav Republic of Macedonia

2AA-2ZZ

United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland

3AA-3AZ

Monaco (Principality of)

3BA-3BZ

Mauritius (Republic of)

3CA-3CZ

Equatorial Guinea (Republic of)

3DA-3DM

Swaziland (Kingdom of)

3DN-3DZ

Fiji (Republic of)

3EA-3FZ

Panama (Republic of)

3GA-3GZ

Chile

3HA-3UZ

China (People's Republic of)

3VA-3VZ

Tunisia

3WA-3WZ

Viet Nam (Socialist Republic of)

3XA-3XZ

Guinea (Republic of)

3YA-3YZ

Norway

3ZA-3ZZ

Poland (Republic of)

4AA-4CZ

Mexico

4DA-4IZ

Philippines (Republic of the)

4JA-4KZ

Azerbaijani Republic

4LA-4LZ

Georgia (Republic of)

4MA-4MZ

Venezuela (Republic of)

4OA-4OZ

Montenegro

4PA-4SZ

Sri Lanka (Democratic Socialist Republic of)

4TA-4TZ

Peru

* 4UA-4UZ

United Nations

4VA-4VZ

Haiti (Republic of)

*4WA-4WZ

United Nations

4XA-4XZ

Israel (State of)

* 4YA-4YZ

International Civil Aviation Organization

4ZA-4ZZ

Israel (State of)

5AA-5AZ

Libya (Socialist People's Libyan Arab Jamahiriya)

5BA-5BZ

Cyprus (Republic of)

5CA-5GZ

Morocco (Kingdom of)

5HA-5IZ

Tanzania (United Republic of)

5JA-5KZ

Colombia (Republic of)

5LA-5MZ

Liberia (Republic of)

5NA-5OZ

Nigeria (Federal Republic of)

5PA-5QZ

Denmark

5RA-5SZ

Madagascar (Republic of)

5TA-5TZ

Mauritania (Islamic Republic of)

5UA-5UZ

Niger (Republic of the)

5VA-5VZ

Togolese Republic

5WA-5WZ

Samoa (Independent State of)

5XA-5XZ

Uganda (Republic of)

5YA-5ZZ

Kenya (Republic of)

6AA-6BZ

Egypt (Arab Republic of)

6CA-6CZ

Syrian Arab Republic

6DA-6JZ

Mexico

6KA-6NZ

Korea (Republic of)

6OA-6OZ

Somali Democratic Republic

6PA-6SZ

Pakistan (Islamic Republic of)

6TA-6UZ

Sudan (Republic of the)

6VA-6WZ

Senegal (Republic of)

6XA-6XZ

Madagascar (Republic of)

6YA-6YZ

Jamaica

6ZA-6ZZ

Liberia (Republic of)

7AA-7IZ

Indonesia (Republic of)

7JA-7NZ

Japan

7OA-7OZ

Yemen (Republic of)

7PA-7PZ

Lesotho (Kingdom of)

7QA-7QZ

Malawi

7RA-7RZ

Algeria (People's Democratic Republic of)

7SA-7SZ

Sweden

7TA-7YZ

Algeria (People's Democratic Republic of)

7ZA-7ZZ

Saudi Arabia (Kingdom of)

8AA-8IZ

Indonesia (Republic of)

8JA-8NZ

Japan

8OA-8OZ

Botswana (Republic of)

8PA-8PZ

Barbados

8QA-8QZ

Maldives (Republic of)

8RA-8RZ

Guyana

8SA-8SZ

Sweden

8TA-8YZ

India (Republic of)

8ZA-8ZZ

Saudi Arabia (Kingdom of)

9AA-9AZ

Croatia (Republic of)

9BA-9DZ

Iran (Islamic Republic of)

9EA-9FZ

Ethiopia (Federal Democratic Republic of)

9GA-9GZ

Ghana

9HA-9HZ

Malta

9IA-9JZ

Zambia (Republic of)

9KA-9KZ

Kuwait (State of)

9LA-9LZ

Sierra Leone

9MA-9MZ

Malaysia

9NA-9NZ

Nepal

9OA-9TZ

Democratic Republic of the Congo

9UA-9UZ

Burundi (Republic of)

9VA-9VZ

Singapore (Republic of)

9WA-9WZ

Malaysia

9XA-9XZ

Rwandese Republic

9YA-9ZZ

Trinidad and Tobago

Call Sign Series

Allocated to

    "นักวิทยุสมัครเล่น" ภาษาอังกฤษเรียกว่า "amateur radio operator" หมายถึงบุคคลที่ได้รับใบอนุญาตการเป็นนักวิทยุสมัครเล่นจากรัฐบาลหรือจากผู้ที่มีอำนาจของแต่ละประเทศ นักวิทยุสมัครเล่นจะใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในสถานีของนักวิทยุสมัครเล่นสำหรับติดต่อสื่อสารระหว่างนักวิทยุสมัครเล่นที่ได้รับอนุญาตเช่นเดียวกัน รวมทั้งใช้ความถี่ที่กำหนดให้เฉพาะกิจการวิทยุสมัครเล่นเท่านั้น ซึ่งการใช้งานจะต้องเป็นตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต นักวิทยุสมัครเล่นจะได้รับการกำหนดสัญญาณเรียกขาน เพื่อระบุตัวตนในการติดต่อสื่อสาร ปัจจุบันมีนักวิทยุสมัครเล่นทั่วโลกประมาณ 3 ล้านคน

นักวิทยุสมัครเล่นมักเรียกตัวเองว่า "ham" สำหรับที่มาของคำว่า "ham" นั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อใด และนักวิทยุสมัครเล่นมักจะเรียกหรือกล่าวถึงนักวิทยุสมัครเล่นที่เสียชีวิตไปแล้วว่า "silent key"

สำหรับกรณีที่เป็นสถานีวิทยุสมัครเล่นกำหนดให้มีคำนำหน้าสัญญาณเรียกขานของประเทศไม่เกิน 2 ตัวอักษรแล้วตามด้วยตัวเลขเพื่อระบุว่าอยู่ในเขตพื้นที่ใดของประเทศ สุดท้ายจะมีอักษรเรียงลำดับตั้งแต่ 1 - 3 ตัว รวมทั้งหมดสัญญาณเรียกขานสำหรับนักวิทยุสมัครเล่นในประเทศไทย จะมีไม่เกิน 6 หลัก ดังนี้

การถอดรหัส

1.      อักษรโรมัน 1 ตัว ใช้สำหรับบุคคลสำคัญของประเทศ

2.      อักษรโรมัน 2 ตัว ใช้เรียงตามลำดับจาก BB ถึง ZZ โดยเว้นอักษร AA ถึง AZ จำนวน 26 ลำดับ เพื่อสำรองให้สถานีพิเศษ เช่น สถานนีควบคุมข่ายประจำจังหวัด สถานีของชมรมหรือสมาคม (Club Station) และสถานีชั่วคราวเฉพาะกิจ ยกเว้นอักษร "CQ" และ "HS"

3.      อักษรโรมัน 3 ตัว ใช้เรียงตามลำดับจาก AAA ถึง ZZZ ยกเว้น DDD, QAA-QZZ, SOS และ TTT

เกร็ด

มีไม่กี่ประเทศที่ได้บันทึกเกี่ยวกับคุณลักษณะของนักวิทยุสมัครเล่นไว้ นอกจากจำนวนของนักวิทยุสมัครเล่นเท่านั้น นักวิทยุสมัครเล่นส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศเหล่านี้ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ไทย เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรป มีเพียง 2 ประเทศเท่านั้นที่ไม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเป็นนักวิทยุสมัครเล่น คือ เยเมน และ เกาหลีเหนือ ในบางประเทศก็เป็นการยากที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับอนุญาตเนื่องจากค่าใบอนุญาตที่สูงมาก ในบางประเทศก็อนุญาตให้ชาวต่างชาติด้วย ซึ่งมีจำนวนน้อยที่นักวิทยุสมัครเล่นจะได้รับอนุญาตในหลายๆ ประเทศพร้อมกัน

 

ประเทศ

จำนวนนักวิทยุสมัครเล่น

ปี ค.ศ.

ญี่ปุ่น

1,296,059

1999

สหรัฐอเมริกา

679,864

2000

ไทย

176,278

2006

เกาหลีใต้

141,000

2000

เยอรมนี

79,666

2000

ไต้หวัน

68,692

1999

สเปน

58,700

1999

สหราชอาณาจักร

58,426

2000

แคนาดา

44,024

2000

รัสเซีย

38,000

1993

บราซิล

32,053

1997

อิตาลี

30,000

1993

อินโดนีเซีย

27,815

1997

ฝรั่งเศส

18,500

1997

ยูเครน

17,265

2000

อาร์เจนตินา

16,889

1999

อินเดีย

10,679

2000

แอฟริกาใต้

6,000

1994

นอร์เวย์

5,302

2000

มาเลเซีย

2,730

2006

จีน

800

2000

 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

*** กลับข้างบน ***

 


ขั้นตอนการดำเนินการออกใบอนุญาตวิทยุคมนาคม
สำหรับกิจการวิทยุสมัครเล่น

 

หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

     1 ยื่นแบบคำขอให้ออกใบอนุญาตวิทยุคมนาคม

     2 ดำเนินการตรวจคำขอและหลักฐานประกอบคำขอพร้อมเขียนใบนำส่งให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียม
        ใบอนุญาตวิทยุคมนาคม

     3 ลงทะเบียนรับคำขอให้ออกใบอนุญาตวิทยุคมนาคม

     4 ดำเนินการตัดยอดเครื่องวิทยุคมนาคมตามคำขอให้ออกใบอนุญาตวิทยุคมนาคม

     5 เสนอคำขอผ่านหัวหน้างานถึงหัวหน้าฝ่าย

     6 ดำเนินการออกใบอนุญาตวิทยุคมนาคมด้วยเครื่อง COMPUTER

     7 ตรวจดูรายละเอียดใบอนุญาตวิทยุคมนาคมก่อนเสนอลงนาม

     8 รอจ่ายใบอนุญาตวิทยุคมนาคม ณ ที่จ่าย

 

การขอใบอนุญาตวิทยุคมนาคม
( กรณีที่ไม่เคยมีเครื่องวิทยุคมนาคมและสัญญาณเรียกขาน )

 

 

     1. การขอใบอนุญาตพนักงานวิทยุคมนาคมและใบอนุญาตให้มีใช้เครื่องวิทยุคมนาคมหรือตั้งสถานี
         วิทยุคมนาคม

หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

        1.1 กรอกแบบคำขอให้ออกใบอนุญาตตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขกำหนด
        1.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาดำ ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2รูป สีหรือขาวดำ
        1.3 สำเนาประกาศนียบัตรพนักงานวิทยุสมัตรเล่นขั้นต้น
        1.4 สำเนาทะเบียนบ้าน
        1.5 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวข้าราชการ หรือบัตรประจำตัวพนักงาน
               องค์การของรัฐ
        1.6 กรณีขอตั้งสถานีวิทยุคมนาคมประจำที่ จะต้องแนบแผนที่พอสังเขป( ถ้าผู้ขอไม่มีชื่ออยู่ใน
              ทะเบียนบ้านที่ขอตั้งสถานีต้องมีหนังสือยินยอมพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวของเจ้าบ้าน
              แนบด้วย )
        1.7 กรณีขอตั้งสถานีวิทยุคมนาคมประจำที่ในรถยนต์จะต้องแนบสำเนาทะเบียนรถยนต์( ถ้าผู้ขอ
              ไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์จะต้องมีหนังสือยินยอมจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ถ้าเป็นรถยนต์เช่าซื้อ
              ต้องมีสำเนาเช่าซื้อพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือถ้าเป็นรถยนต์นิติบุคคล
              ประจำตำแหน่งต้องมีหนังสือรับรองว่าเป็นรถยนต์ประจำตำแหน่งแนบด้วย )
        1.8 กรณีที่ผู้ขอใบอนุญาตที่ต้องรอผลการตรวจสอบประวัติแต่จะขอผ่อนผันก่อนทราบผลการตรวจ
              สอบประวัติตามประกาศกรมไปรษณีย์โทรเลขเรื่องหลักเกณฑ์การพิจารณาออกใบอนุญาตวิทยุ
              คมนาคมสมัครเล่นก่อนทราบผลการตรวจสอบประวัติจะต้องยื่นแบบขอผ่อนผันตามที่กรม
              ไปรษณีย์โทรเลขกำหนด

     2 การขออนุญาตใช้เครื่องวิทยุคมนาคมร่วมกับผู้อื่น

หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

       2.1 เจ้าของเครื่องวิทยุคมนาคมและผู้ขอใช้เครื่องวิทยุคมนาคมร่วมกรอกแบบคำขอใช้เครื่องวิทยุ
             คมนาคมร่วม และแบบคำขอใบอนุญาตวิทยุคมนาคมตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขกำหนด
       2.2 สำเนาใบอนุญาตให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่ขอใช้ร่วม
       2.3 หลักฐานแสดงความเกี่ยวข้องเป็นบิดา มารดา ภรรยา บุตร ธิดา พี่และน้องของผู้ขอใช้ร่วม
       2.4 สำเนาประกาศนียบัตรพนักงานวิทยุสมัครเล่นขั้นต้นของผู้ขอใช้ร่วม
       2.5 รูปถ่ายหน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาดำ ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป สีหรือขาวดำของผู้
              ขอใช้ร่วม
       2.6 กรณีผู้ใช้ร่วมขอตั้งสถานีวิทยุคมนาคมประจำที่ จะต้องแนบแผนที่พอสังเขป( ถ้าผู้ขอไม่มีชื่ออยู่
             ในทะเบียนบ้านที่ขอตั้งสถานีต้องมีหนังสือยินยอมพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวของเจ้าบ้านแนบ
             ด้วย )
       2.7 กรณีผู้ใช้ร่วมขอตั้งสถานีวิทยุคมนาคมประจำที่ในรถยนต์ จะต้องแนบสำเนาทะเบียนรถยนต์
             ( ถ้าผู้ขอไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์จะต้องมีหนังสือยินยอมจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ถ้าเป็นรถยนต์
             เช่าซื้อต้องมีสำเนาเช่าซื้อพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือถ้าเป็นรถยนต์นิติ
             บุคคลประจำตำแหน่งต้องมีหนังสือรับรองว่าเป็นรถยนต์ประจำตำแหน่งแนบด้วย )
       2.8 กรณีผู้ใช้ร่วมที่ต้องรอผลการตรวจสอบประวัติ แต่จะขอผ่อนผันก่อนทราบผลการตรวจสอบ
              ประวัติตามประกาศกรมไปรษณีย์โทรเลขเรื่องหลักเกณฑ์การพิจารณาออกใบอนุญาตวิทยุ
              คมนาคมสมัครเล่นก่อนทราบผลการตรวจสอบประวัติจะต้องยื่นแบบขอผ่อนผันตามที่กรม
              ไปรษณีย์โทรเลขกำหนด

     3 การขอโอนเครื่องวิทยุคมนาคม

หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

      3.1ผู้โอนและผู้รับโอนกรอกใบคำขอโอนเครื่องวิทยุคมนาคมและแบบคำขอให้ออกใบอนุญาตวิทยุ
            คมนาคมตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขกำหนด
      3.2 สำเนาประกาศนียบัตรพนักงานวิทยุสมัครเล่นขั้นต้นของผู้รับโอน
      3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวข้าราชการ หรือบัตรประจำตัวพนักงาน
            องค์การของรัฐของผู้รับโอน
      3.4 รูปถ่ายหน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาดำ ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป สีหรือขาวดำของ
            ผู้รับโอน
      3.5 ใบอนุญาตให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมต้นฉบับจริงที่ทำการโอน
      3.6 สำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับโอน
      3.7 กรณีผู้รับโอนขอตั้งสถานีวิทยุคมนาคมประจำที่ จะต้องแนบแผนที่พอสังเขป(ถ้าผู้ขอไม่มีชื่อ
            อยู่ในทะเบียนบ้านที่ขอตั้งสถานีต้องมีหนังสือยินยอม พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวของเจ้าบ้าน
            แนบด้วย)
      3.8 กรณีผู้รับโอนขอตั้งสถานีวิทยุคมนาคมประจำที่ในรถยนต์ จะต้องแนบสำเนาทะเบียนรถยนต์
            (ถ้าผู้ขอไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์จะต้องมีหนังสือยินยอมจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ ถ้าเป็นรถยนต์
            เช่าซื้อต้องมีสำเนาเช่าซื้อ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือถ้าเป็นรถยนต์นิติ
            บุคคลประจำตำแหน่ง ต้องมีหนังสือรับรองว่าเป็นรถยนต์ประจำตำแหน่งแนบด้วย)
      3.9 กรณีผู้รับโอนที่ต้องรอผลการตรวจสอบประวัติ แต่จะขอผ่อนผันก่อนทราบผลการตรวจสอบ
            ประวัติตามประกาศกรมไปรษณีย์โทรเลข เรื่องหลักเกณฑ์การพิจารณทออกใบอนุญาตวิทยุ
            คมนาคมสมัครเล่นก่อนทราบผลการตรวจสอบประวัติ จะต้องยื่นแบบขอผ่อนผันตามที่กรม
           ไปรษณีย์โทรเลขกำหนด

 

การขอใบอนุญาตวิทยุคมนาคม
กรณีที่มีเครื่องวิทยุคมนาคมและสัญญาณเรียกขานอยู่แล้ว

 

 

     1 การขอใบอนุญาติให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมจำนวนเครื่องเพิ่มเติม
หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

        1.1 กรอกแบบคำขอให้ออกใบอนุญาตตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขกำหนด
        1.2 สำเนาบัตรพนักงานวิทยุคมนาคมประจำสถานีวิทยุสมัครเล่น
        1.3 สำเนาใบอนุญาตตั้งสถานีวิทยุคมนาคม กรณีเครื่องวิทยุคมนาคมที่รับโอนมีกำลังส่งเกินกว่า 5
               วัตต์

     2 การขออนุญาตให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมร่วมกับผู้อื่น
หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

        2.1 เจ้าของเครื่องวิทยุคมนาคมและผู้ขอใช้เครื่องวิทยุคมนาคม กรอกใบคำขอใช้เครื่องวิทยุ
               คมนาคมร่วมและแบบคำขอให้ออกใบอนุญาตวิทยุคมนาคมตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลข
               กำหนด
        2.2 สำเนาใบอนุญาตให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่ขอใช้ร่วม
        2.3 สำเนาใบอนุญาตพนักงานวิทยุคมนาคมประจำสถานีวิทยุสมัครเล่นของผู้ขอใช้ร่วม
        2.4 หลักฐานแสดงความเกี่ยวข้อง เป็นบิดา มารดา ภรรยา บุตรธิดา พี่และน้องของผู้ขอใช้ร่วม

     3 การขออนุญาตโอนเครื่องวิทยุคมนาคม
หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

       3.1 ผู้โอนและผู้รับโอนกรอกใบคำขอโอนเครื่องวิทยุคมนาคมและแบบคำขอให้ออกใบอนุญาตวิทยุ
              คมนาคมตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขกำหนด
       3.2 ใบอนุญาตให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมต้นฉบับจริงที่ทำการโอน
       3.3 สำเนาใบอนุญาตพนักงานวิทยุคมนาคมประจำสถานีวิทยุสมัครเล่นของผู้รับโอน
       3.4 สำเนาใบอนุญาตตั้งสถานีวิทยุคมนาคมประจำสถานีวิทยุสมัครเล่นของผู้รับโอน กรณีเครื่อง
              วิทยุคมนาคมที่รับโอนมีกำลังส่งเกินกว่า 5 วัตต์

     4 การขอใบอนุญาตตั้งสถานีวิทยุคมนาคม
หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

       4.1 กรอกแบบคำขอให้ออกใบอนุญาตวิทยุคมนาคมตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขกำหนด
       4.2 สำเนาใบอนุญาตให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่ขอตั้ง
       4.3 สำเนาทะเบียนบ้าน กรณีขอตั้งสถานีประจำที่
       4.4 แผนที่พอสังเขป กรณีขอตั้งสถานีประจำที่
       4.5 สำเนาทะเบียนรถยนต์ กรณีขอตั้งสถานีในรถยนต์
       4.6 หนังสือยินยอม พร้อมสำเนบัตรประจำตัวของเจ้าบ้าน กรณีผู้ขอไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
       4.7 หนังสือยินยอมของเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ หรือสัญญาเช่าซื้อ หรือหนังสือรับรองการเป็น
              รถยนต์ประจำตำแหน่งของนิติบุคคล กรณีผู้ขอตั้งสถานีในรถยนต์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์
              พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวของผู้ยินยอม

 

การขออนุญาตตั้งสถานีประจําที่

 


     การขออนุญาตตั้งสถานีภายในบ้าน
หลักฐานที่ใช้ประกอบการขออนุญาต

     1. บัตรนักวิทยุสมัครเล่น ( กรณีที่ได้นามเรียกขานมาแล้ว )
     
     2. สําเนาทะเบียนบ้านที่ต้องการจะใช้ตั้งสถานี ( หากเป็นบ้านเช่า หรือบ้านที่ผู้ขอมาอยู่อาศัยโดยที่ไม่
          มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน จะต้องได้รับคํายินยอมจากผู้เป็นเจ้าของบ้าน โดยจัดทําเป็นหนังสือยินยอม
          จากเจ้าบ้าน )

     3. ใบอนุญาติใช้เครื่องมือสื่อสารรับ/ส่ง

     4. กรอกเอกสารคําขอตั้งสถานีตามระเบียบกรมไปรษณีย์

 

การขอยกเลิกการตั้งสถานีวิทยุคมนาคม

 


      การขอยกเลิกการตั้งสถานีวิทยุคมนาคม

หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

     1 กรอกแบบคำขอยกเลิกใบอนุญาตวิทยุคมนาคมตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขกำหนด

     2 แนบใบอนุญาตให้ตั้งสถานีวิทยุคมนาคมต้นฉบับจริง

     3 ในกรณีเครื่องวิทยุคมนาคมที่ขอยกเลิกมีกำลังส่งเกินกว่า 5 วัตต์ขึ้นไป จะต้องนำเครื่องวิทยุ
         คมนาคมไปให้กรมไปรษณีย์โทรเลขทำการ SEAL เครื่อง และกรมไปรษณีย์โทรเลขจะออก
         ใบอนุญาตวิทยุคมนาคม ให้มีเครื่องไว้ในครอบครองเท่านั้น

     4 ในกรณีเครื่องวิทยุคมนาคมที่ตั้งสถานีเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมชนิดมือถือ ยังสามารถใช้เครื่อง
         วิทยุคมนาคมได้ตามปกติ

 

การขอยกเลิกการใช้เครื่องวิทยุคมนาคมร่วมกับผู้อื่น

 


     การขอยกเลิกการใช้เครื่องวิทยุคมนาคมร่วมกับผู้อื่น

หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

     1 กรอกแบบคำขอยกเลิกการใช้เครื่องวิทยุคมนาคมร่วมตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขกำหนด

     2 แนบใบอนุญาตให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่ใช้ร่วมต้นฉบับจริง

 

การขอยกเลิกใบอนุญาตให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่สูญหาย

 

     
      การขอยกเลิกใบอนุญาตให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่สูญหาย

หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

     1 กรอกแบบคำขอยกเลิกการใช้เครื่องวิทยุคมนาคมร่วมตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขกำหนด

     2 ใบแจ้งความของสถานีตำรวจท้องที่ที่เครื่องวิทยุคมนาคมสูญหาย

     3 แนบใบอนุญาตให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่สูญหายต้นฉบับจริง

 

การขอใบอนุญาตให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่สูญหายได้รับคืน

 


      การขอใบอนุญาตให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่สูญหาย

หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

     1 กรอกแบบคำขอให้ออกใบอนุญาตวิทยุคมนาคมตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขกำหนด

     2 ใบแจ้งความที่ได้รับเครื่องวิทยุคมนาคมคืนของสถานีตำรวจท้องที่เดิม

     3 สำเนาใบอนุญาตพนักงานวิทยุคมนาคมประจำสถานีวิทยุสมัครเล่น

     4 นำเครื่องวิทยุคมนาคมที่ส่งคืนมาให้กรมไปรษณีย์โทรเลข ดำเนินการตรวจสอบก่อนออกใบอนุญาต
         วิทยุคมนาคม

 

 

การขอมีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครอง

 


      การขอมีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครอง

หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

     1 กรอกแบบคำขอให้ออกใบอนุญาตวิทยุคมนาคมตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขกำหนด

     2 ให้ผู้ขอนำเครื่องวิทยุคมนาคม ส่งให้กรมไปรษณีย์โทรเลขทำการ SEAL เครื่องวิทยุคมนาคม
         ก่อนที่กรมไปรษณีย์โทรเลขจะดำเนินการออกใบอนุญาตวิทยุคมนาคมให้มีเครื่องไว้ในครอบ
         ครองเท่านั้น

     3 กรณีขอใบอนุญาติให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่มีไว้ในครอบครอง ให้ผู้ขอนำเครื่องวิทยุคมนาคมส่ง
        ให้กรมไปรษณีย์โทรเลขดำเนินการตรวจสอบทางเทคนิคก่อนออกใบอนุญาตให้ใช้เครื่องวิทย
        ุคมนาคมนั้นต่อไป

 

 

การขอต่ออายุใบอนุญาตวิทยุคมนาคม

 

 

     การขอใบอนุญาตพนักงานวิทยุคมนาคมและใบอนุญาตให้มีใช้เครื่องวิทยุคมนาคมหรือตั้งสถานีวิทยุคมนาคม
หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

     1 กรอกแบบคำขอให้ออกใบอนุญาตวิทยุคมนาคมตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขกำหนด

     2 แนบใบอนุญาตวิทยุคมนาคมต้นฉบับจริงคืนกรมไปรษณีย์โทรเลข

     3 ใบแจ้งความของสถานีตำรวจท้องที่ หรือใบรับแจ้งเอกสารสูญหายของกรมไปรษณีย์โทรเลขกรณี
         ใบอนุญาตวิทยุคมนาคมสูญหาย

     4 รูปถ่ายหน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาดำ ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2รูป สีหรือขาวดำ กรณีขอต่อ
         ใบอนุญาตพนักงานวิทยุคมนาคม

     5 หากขอต่ออายุใบอนุญาตทางไปรษณีย์ให้ดำเนินการจัดส่งหลักฐานดังกล่าวข้างต้น พร้อมส่ง
         ธนาณัติชำระค่าธรรมเนียม หรือค่าเปรียบเทียบปรับ (ถ้ามี) สั่งจ่าย "กรมไปรษณีย์โทรเลข"
         จ่าย ณ ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขสามเสนใน กรุงเทพ 10400

 

 

ใบอนุญาตให้ค้าเครื่องวิทยุคมนาคม

 


      ใบอนุญาตให้ค้าเครื่องวิทยุคมนาคม

หลักฐานประกอบคำขออนุญาต
   
      1. หนังสือแจ้งความประสงค์ของบริษัท ห้าง ร้านค้า เรียน ผู้อำนวยการกองใบอนุญาตวิทยุคมนาคม

      2. กรอกแบบคำขอใบอนุญาตให้ค้าเครื่องวิทยุคมนาคม

      3. สำเนาหนังสือรับรองทะเบียน หุ้นส่วนบริษัท (กรณีเป็นบริษัทหรือห้าง)

      4. สำเนาหนังสือรับรองใบทะเบียนพาณิชย์ ออกโดยสำนักงานทะเบียนพาณิชย์จังหวัด (กรณีเป็นร้าน
           ค้า)

      5. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ที่มีอำนาจลงชื่อผูกพัน

      6. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ที่มีชื่อปรากฎอยู่ในหนังสือรับรองใบ
          ทะเบียนพาณิชย์

      7. หนังสือมอบอำนาจในกรณีกรรมการที่มีรายชื่อปรากฎในหนังสือรับรองทะเบียน หุ้นส่วนบริษัทที่
           มีการลงลายมือชื่อร่วมกัน จะต้องทำหนังสือมอบอำนาจให้กรรมการ 1 คน เป็นผู้กรอกแบบคำขอ
          ใบอนุญาตพร้อมติดอากรแสตมป์ 10 บาท

( สำหรับกรณีต่อใบอนุญาตให้แนบหลักฐาน ตามข้อ 1 พร้อมกับใบอนุญาตให้ค้าเครื่องวิทยุคมนาคม
ต้นฉบับจริงคืน )

 

 

ใบอนุญาตให้ซ่อมแซมเครื่องวิทยุคมนาคม

 


      ใบอนุญาตให้ซ่อมแซมเครื่องวิทยุคมนาคม

หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

     1. หนังสือแจ้งความประสงค์ เรียน ผู้อำนวยการกองใบอนุญาตวิทยุคมนาคม

     2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน

( สำหรับกรณีต่อใบอนุญาตให้แนบหลักฐาน ตามข้อ 1 พร้อมกับใบอนุญาตให้ซ่อมแซมเครื่อง
วิทยุคมนาคม ต้นฉบับจริงคืน )

 

ใบอนุญาตนำเข้าและหรือทำเครื่องวิทยุคมนาคม 

 

     
      ใบอนุญาตนำเข้าและหรือทำเครื่องวิทยุคมนาคม (ที่ยังไม่เคยผ่านการนำเข้า)

      เครื่องวิทยุคมนาคมที่ยังไม่เคยผ่านการนำเข้า โดยการทดสอบรับรองตัวอย่างเครื่องวิทยุคมนาคมมาก่อน
ดำเนินการดังนี้
หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

     1. หนังสือแจ้งความประสงค์ เรียน ผู้อำนวยการกองบริหารความถี่วิทยุคมนาคม

     2. กรอกแบบคำขอใบอนุญาต นำเข้า/ทำเครื่องวิทยุคมนาคม โดยผู้ขอจะต้องระบุรายละเอียดในส่วนที่เป็น
          สาระสำคัญ เช่น ประเภทของเครื่อง ยี่ห้อ รุ่น ลักษณะ การใช้งาน กำลังส่ง ความถี่ใช้งาน (แบบ วค. 1)

     3. รายละเอียดประกอบคำขออนุญาต นำเข้า/ทำเครื่องวิทยุคมนาคม เพื่อการทดสอบรับรองตัวอย่าง
          (แบบ บว. 10)

     4. สำเนาใบอนุญาตให้ค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม

     5. CATALOG ของเครื่องวิทยุคมนาคม

     6. ข้อกำหนดทางวิชาการ (TECHNICAL SPECIFICATIONS) ของเครื่องวิทยุคมนาคม

     7. คู่มือการใช้งาน (OPERATION MANUAL) และคู่มือซ่อมบำรุงรักษา (MAINTENANCE
          หรือ SERVICE MANUAL) ของเครื่องวิทยุคมนาคม

     8. แผนผังวงจร (CIRCUIT DIAGRAM) ของเครื่องวิทยุคมนาคม

     9. PROFORMA INVOICE หรือใบตอบรับการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ

     10. ใบมอบอำนาจในกรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาดำเนินการแทน เอกสารหัวข้อ 5-9 จะต้องเป็น
            Original 1 ชุด และ Copy 1 ชุด

     เอกสารตามข้อ 5-8 ต้องเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษจำนวน 2 ชุด โดยเป็นเอกสารต้นฉบับจากบริษัทผู้
ผลิต จำนวน 1 ชุด และสำเนาที่ชัดเจน จำนวน 1 ชุด พร้อมทั้งให้มีคำรับรองว่า "สำเนาถูกต้อง" บนเอกสารตัว
จริงและสำเนาทุกหน้า หากเอกสารใดเป็นภาษาอื่น ผู้ยื่นคำขอจะต้องแปลเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ และใน
กรณีที่มีการแปลเอกสารจะต้องส่งเอกสารที่แปลแล้ว จำนวน 2 ชุด และเอกสารต้นฉบับจากบริษัทผู้ผลิตมาด้วย
อีก 1 ชุด

 

ใบอนุญาตนำเข้าและหรือทำเครื่องวิทยุคมนาคม

 


      ใบอนุญาตนำเข้าและหรือทำเครื่องวิทยุคมนาคม (ที่เคยผ่านการนำเข้า)

     การนำเข้าเครื่องวิทยุคมนาคมที่เคยผ่านการนำเข้ามาในราชอาณาจักรและมีการส่งเครื่องวิทยุคมนาคมมาตรวจ
สอบที่กรมไปรษณีย์โทรเลขแล้วดำเนินการ ดังนี้
หลักฐานประกอบคำขอใบอนุญาต

     1. หนังสือแจ้งความประสงค์ เรียน ผู้อำนวยการกองใบอนุญาตวิทยุคมนาคม
     2. กรอกแบบคำขอใบอนุญาต นำเข้า/ทำเครื่องวิทยุคมนาคม โดยผู้ขอจะต้องระบุรายละเอียดในส่วนที่เป็นสาระ
          สำคัญเช่น ประเภทของเครื่อง ยี่ห้อ รุ่น ลักษณะ การใช้งาน กำลังส่ง ความถี่ใช้งาน (แบบ วค. 1)
     3. สำเนาใบอนุญาตให้ค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม
     4. สำเนาหนังสือการทดสอบรับรองตัวอย่างเครื่องวิทยุคมนาคม หรือสำเนาใบอนุญาตที่เคยอนุญาตให้นำเข้า/ทำ
          เครื่องวิทยุคมนาคม
     5. ข้อกำหนดทางวิชาการ (TECHNICAL SPECIFICATIONS)
     6. PROFORMA INVOICE หรือใบตอบรับการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ
     7. ใบมอบอำนาจในกรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาดำเนินการแทน

 

ใบอนุญาตนำเข้า นำออก ทำ มี เครื่องวิทยุคมนาคม

 


      ใบอนุญาตนำเข้า นำออก ทำ มี เครื่องวิทยุคมนาคม ( เพื่อประกวดราคาส่วนราชการ )
หลักฐานประกอบคำขออนุญาต

     1. หนังสือแจ้งความประสงค์ เรียน ผู้อำนวยการกองใบอนุญาตวิทยุคมนาคม

     2. กรอกแบบคำขอใบอนุญาต นำเข้า นำออก ทำ มี (เพื่อประกวดราคา) เครื่องวิทยุคมนาคม โดยผู้ขอจะต้องระบุ
          รายละเอียดในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ เช่น ประเภทของเครื่อง ยี่ห้อ รุ่น ลักษณะ การใช้งาน กำลังส่ง ความถี่
           ใช้งาน (แบบ วค. 1)

     3. สำเนาใบอนุญาตให้ค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม

     4. สำเนาหนังสือการทดสอบรับรองตัวอย่างเครื่องวิทยุคมนาคม หรือสำเนาใบอนุญาตที่เคยอนุญาตให้นำเข้า/ทำ
          เครื่องวิทยุคมนาคม

     5. หนังสือรับรองการนำเข้า/นำออก/ทำ/มี เครื่องวิทยุคมนาคม จากหัวหน้าส่วนราชการเป็นผู้ออกให้พร้อม
          สำเนาสัญญาซื้อขายหรือสำเนาใบสั่งซื้อจากหน่วยงานราชการโดยจะต้องรับรองสำเนาถูกต้องทุกหน้า เรียน
           อธิบดีกรมไปรษณีย์ โทรเลข หรือผู้อำนวยการกองใบอนุญาตวิทยุคมนาคม

     6. สำเนาหนังสือขยายข่ายสื่อสารจากกรมไปรษณีย์โทรเลข (ถ้ามี)

     7. PROFORMA INVOICE หรือใบตอบรับการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ

     8. ใบมอบอำนาจในกรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาดำเนินการแทน


     สำหรับกรณีต่ออายุใบอนุญาต นำเข้า/นำออก/ทำ/มี เครื่องวิทยุคมนาคมเพื่อประกวดราคา ส่วนราชการให้แนบหลักฐาน
ดังต่อไปนี้

     1. หนังสือแจ้งความประสงค์ เรียน ผู้อำนวยการกองใบอนุญาตวิทยุคมนาคม

     2. กรอกแบบคำขอใบอนุญาต ทำ นำออก มี (เพื่อประกวดราคา) ในกรณีที่มีรายการนำเข้า/ทำ/นำออก ที่เหลือ

     3. ใบอนุญาตต้นฉบับตัวจริงคืน

     4. หนังสือรับรองการต่ออายุใบอนุญาต นำเข้า/นำออก/ทำ/มี (เพื่อประกวดราคา) จากหัวหน้าส่วนราชการ เรียน
          อธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข หรือผู้อำนวยการกองใบอนุญาตวิทยุคมนาคม

     5. สำเนาหนังสือขยายข่ายสื่อสารจากกรมไปรษณีย์โทรเลข (ถ้ามี)

 

ใบอนุญาตนำออกเครื่องวิทยุคมนาคม

 


      ใบอนุญาตนำออกเครื่องวิทยุคมนาคม
หลักฐานประกอบคำขออนุญาต

     1. หนังสือแจ้งความประสงค์ เรียน ผู้อำนวยการกองใบอนุญาตวิทยุคมนาคม

     2. กรอกแบบคำขอใบอนุญาต นำเข้า/ทำเครื่องวิทยุคมนาคม โดยผู้ขอจะต้องระบุรายละเอียดในส่วนที่เป็นสาระ
          สำคัญเช่น ประเภทของเครื่อง ยี่ห้อ รุ่น ลักษณะ การใช้งาน กำลังส่ง ความถี่ใช้งาน (แบบ วค. 1)

     3. สำเนาใบอนุญาตให้ค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม

     4. สำเนาใบอนุญาตให้ทำเครื่องวิทยุคมนาคม กรณีได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI

     5. หลักฐานการที่จะนำของออกราชอาณาจักร

      สำหรับกรณีต่ออายุใบอนุญาต นำเข้า นำออก ทำเครื่องวิทยุคมนาคม ให้แนบหลักฐานดังต่อไปนี้

     1. หนังสือแจ้งความประสงค์ ขอต่ออายุใบอนุญาต เรียน ผู้อำนวยการกองใบอนุญาตวิทยุคมนาคม ขอต่ออายุใบ
          อนุญาต

     2. กรอกแบบคำขอใบอนุญาต นำเข้า/นำออก/ทำ โดยจะต้องตัดยอดเครื่องที่นำเข้า/ทำ/นำออก แล้วกรมไปรษณีย์
          โทรเลขจะต่ออายุใบอนุญาตเฉพาะเครื่องที่ยังไม่นำเข้า/นำออก/ทำในครั้งนั้น ในกรณีที่มีรายการนำเข้า/ทำ/
           นำออก ที่เหลือจากใบอนุญาตเดิม

     3. ใบอนุญาตต้นฉบับตัวจริงคืน

 

ใบแทนใบอนุญาต ค้า/ซ่อมแซม/นำเข้า/นำออก/ทำ
มีเครื่องวิทยุคมนาคม

 

     
      ใบแทนใบอนุญาต ค้า/ซ่อมแซม/นำเข้า/นำออก/ทำ มีเครื่องวิทยุคมนาคม (เพื่อประกวดราคา)

ให้แนบหลักฐานดังต่อไปนี้

     1. หนังสือแจ้งความประสงค์ เรียน ผู้อำนวยการกองใบอนุญาตวิทยุคมนาคม

     2. ใบแจ้งความรับรองเอกสารหายฉบับจริง

*** กลับข้างบน ***




ภัยจากการใช้วิทยุรับ - ส่ง

      ปัจจุบันในบ้านเรามีการใช้เครื่องวัทยุรับส่งกันมากขึ้น ซึ่งผู้ใช้วิทยุรับส่งที่เพิ่มขึ้นในระยะหลังนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นนักวิทยุสมัครเล่นที่ได้รับอนุญาติให้มีและใช้งานได้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ภายหลังจากที่กรมไปรษณีย์โทรเลข  ได้ประกาศใช้นโยบายให้เป็นนักวิทยุสมัครเล่น   โดยการสมัครเข้ารับการอบรมและทำการสอบเลยภายในหลักสูตรและนโยบาย   เปิดให้สอบทุกเดือน  จำนวนนักวิทยุสมัครเล่นและผู้ใช้วิทยุ  จึงมีมากขึ้นอย่างเ็้นได้ชัด  ดังจะเห็นได้จากยอดจำนวนผู้สอบได้ในแต่ละรุ่น  อัตราการจำหน่ายเครื่องวิทยุคมนาคม  การเกิดคลื่น รบกวน  และการใช้ช่องความถี่ของนักวิทยุสมัครเล่นเต็มทั้ง 41 ช่อง  เกือบตลอดเวลา  เป็นต้น

อันตรายที่แอบแฝงมากับคลื่นวิทย

       เป็นความรู้กันมานานแล้วว่าคลื่นแม่เหล้กไฟฟ้าย่านอัลตราไวโอเลต  เอกซ์เรย์และแกรมมาเรย์มีอันตรายต่อมนุษย์เช่นเดียวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าย่านไม่โครเวฟที่เราเคยมีรายงานว่าทำให้ เกิิดอันตรายต่อผู้ที่ปฎิบัติงานหรือผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ ( Cardiac Pacemaker ) และเคยเชื่อกันว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าย่านคลื่นวิทยุช่วงที่ต่ำกว่าไมโครเวฟค่อนข้างปลอดภัยต่อ มนุษย์ จนกระทั่งในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ เริ่มมีการสงสัยว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ แต่ไม่สามารถหาหนทางพิสูจน์ให้แน่ชัดได้ และในระยะหลังๆ ได้มีผลการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญสาขา ต่างๆ โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญสาขาชีววิทยาทางการแพทย์ ( Bio - Medical Expert ) ให้ผลสรุปว่าคลื่นวิทยุสามารถทำให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์ได้ แม้กระทั่งย่านความถี่ต่ำรวมถึงความถี่ ไลน์ 60 เฮิรตซ์ด้วยก็ตาม        ผู้ที่ใช้เครื่องส่งวิทยุทุกท่านควรจะทราบว่า คลื่นวิทยุที่ออกมาจากเครื่องส่งนั้นอาาจทำอันตรายต่อผู้ใช้เครื่องและผู้ใกล้ชิดได้ ดังนั้นหากไม่ได้ศึกาาหรือไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องอันตราย ของคลื่นวิทยุมาก่อน ท่านและผู้ใกล้ชิดอาจจะเป็นผู้โชคร้ายได้รับอันตรายจากคลื่นวิทยุที่ออกมา วึ่งบางครั้งเกิดขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวกว่าจะรู้ก็สายเกินแก้เสียแล้ว ทั้งนี้เพราะอันตรายที่เกิดจากคลื่น วิทยุึมีสองประเภทคืออันตรายที่เรารู้สึกได้โดยทันทีได้แก่ ความร้อน ไฟฟ้าดูด ไฟไหม้ ปวดศรีษะ ความเครียด เป็นต้น        ส่วนอันตรายที่เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว ได้แก่ การรบกวนระบบการทำงานของร่างกายส่วนที่ไม่มีประสาทบอกความรู้สึกหรือรบกวนที่ละเล็กละน้อยเกิดความผิดปกติขึ้นอย่างช้าๆกว่าจะรู้ตัว ก็เป็นมากแล้ว เช่น เลนส์แก้วตาขุ้นมัว ( เรียกว่า ต้อกระจก หรือ Cataract ) ประสาทตาถูกทำลาย ( Retinal Damage ) รบกวนการทำงานของเซลลืต่างๆ ของมนุษย์ มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia ) และมะเร็งของสมอง ( Brain Tumor ) รวมถึงอันตรายอื่นๆ ที่ยังไม่ทราบหรือยังไม่ปรากฎ เป็นต้น

คลื่นวิทยุคืออะไร ?

      คลื่นวิทยุที่ส่งออกมาจากเครื่องวิทยุรับ-ส่ง เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับคลื่นเสียงคลื่นแสงรังสีเอ้กซ์และอื่นๆ แต่มีความแตกต่างกันตรงความยาวคลื่นหรือความถี่ของคลื่น       คลื่นวิทยุเป็นคลื่นที่ประกอบด้วยเส้นแรงสนามแม่เหล็กและเส้นแรงสนามไฟฟ้าที่เกิดจากพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับที่มีความถี่สูงตั้งแต่ 10 kHz จนถึง 3,000 MHz คลื่นเหล่านี้มีความ สามารถที่จะแผ่กระจายออกไปในอากาศได้ด้วยความเร็วประมาณ 300 ล้านเมตร ต่อวินาที ( คุณสมบัติเหมือนกับคลื่นแสง )ในบรรดาคลื่นวิทยุช่วงความถี่สูง (HF) , คลื่ี่นวิทยุความถสูงมาก (VHF) , คลื่นวิทยุความถี่สูงยิ่ง (UHF) และ ฯลฯ ในบทความนี้จะเน้นเฉพาะส่วนที่มีผลกระทบต่อร่างกายและการดำรงชีวิตของมนุษย์เท่านั้น

ผลของคลื่นแม่เหล้กไฟฟ้าที่เคยรู้จักกันมาก่อน

      พลังงานจากคลื่นวิทยุจะมีผลต่อร่างกายมนุษย์อย่างไร ก่อให้เกิดผลเสียมากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับความแรงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่จุดสัมผัส ( ขนาดของพลังงานที่แพร่ออกมาและระยะห่าง จากแหล่งพลังงาน ) ความถี่หรือความยาวคลื่นของวิทยุ และอวัยวะส่วนที่ได้รับพลังงานนั้น ( แต่ละอวัยวะอาจมีผลบกระทบไม่เหมือนกัน ) ปัยหาที่ผู้ใช้เครื่องวิทยุรับ-ส่งที่เป็นนักวิทยุสมัครเล่น จะต้องเผชิญได้แก่ การใช้เครื่องวิทยุรับส่ง ขนาดกำลังส่ง 5 หรือ 10 วัตต์ ลักษณะการใช้งานแบบใช้ครั้งละนานๆ พลังงานขนาดนีน้จะมากหรือน้อยเพียงไรจะมีผลต่อร่างกายอย่างไรยากที่จะ ชี้ชัดให้เห็น       ผลของคลื่นแม่เหล็กไฟ้าย่านคลื่นวิทยุต่อร่างกายมนุษย์ที่เป็นที่รู้กันดีโดยทั่วไปมานานแล้วก็คือผลของพลังงานที่ทำให้เกิดความร้อนเช่นเดียวกับคุณสมบัติของคลื่นอินฟราเรดหรือคลื่นแสง เมื่อมนุษย์ได้รับพลังงานจากคลื่นวิทยุ หรือได้รับจากการแผ่กระจายออกมานอกสายนำสัญญาณโดยที่เราไม่รู้ตัว หรือได้รับออกมาจากตัวเครื่องวิทยุเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องวิทยุที่ไม่ได้ปิด ฝาขณะทำการซ่อมหรือปรับแต่ง หรือได้รับจากการแพร่กระจายออกมาจากสายอากาศที่ติดตั้งภายนอกโดยการเข้าไปใกล้ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายอากาสที่มีอัตราขยายสูงๆ จะทำให้อวัยวะของ ร่างกายเกิดความร้อนขึ้นได้ การที่คลื่นวิทยุทำให้เกิดความร้อนที่ร่างกาย อวัยวะที่ควรระวังอย่างยิ่งก็คือเลนส์แก้วตาของดวงตา ซึ่งมีลักษณะเป็นโปรตีนคล้ายไข่ดาว หากได้รับความ- ร้อนเป็นปริมาณมากก็กลายเป็นไข่ดาวสุกที่มีความขุ่น ไม่อ่อนจัว หากได้รับความร้อนเป็นปริมาณไม่มากแต่เป็นเววลานาน ก็จะเกิดผลคล้ายๆกัน และเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ใช้เวลาหลาย ๆ เดือน ซึ่งยาก ที่จะสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน เช่น การสังเกตพบว่า ความสามารถในการมองในที่สลัวๆ ด้วยลงเรื่อยๆ เรียกว่าต้อกระจก ( Cataract )

มาตรฐานความปลอดภัย

       ในสมัยก่อนมีการกำหนดมาตตราฐานกันว่าขนาดพลังงานที่มนุษย์สามารถรับได้โดยไม่เกิดอันตรายคือ 10 mW/ sq.cm. เป็นเวลาติดต่อกันนาน 6 นาที แต่ในสมัยต่อมา ANSI ( American National Standards Institute ) ได้ออกรายงานมาตราฐานเกี่ยวกับ Exposure Standard ใหม่ โดยค่าที่จำหัดจะไม่เท่ากันในแต่ละย่านความถีี่ โดยยังคงใช้เวลา expose นาน 6 นาที เหมือนมาตราฐานเก่า จากข้อมูลที่นำเสนอใหม่ของ ANSI บ่งบอกว่า คลื่นย่าน VHF และ UHF มีผลต่อร่างกายมากกว่าย่านอื่นทีี่ความเข้มของพลังงานเท่ากัน   เหตุผล ที่แน่นอนไม่ได้รายงานไว้ เข้าใจว่าจะคล้ายกับเรื่องเรโซแนนซ์ของสา่ยอากาศ ซึ่งทำให้เชื่อว่าความยาวของร่างกายมนุษย์ (ความสูง) ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับความมากน้อยในการที่จะรับพลังงาน จากคลื่นวิทยุความถี่เดียวกัน ข้อแตกต่างจะมีตรงที่ว่าความยาวที่จะสามารถรับคลื่นวิทยุได้ดีมากที่สุด คือ ความยาวเท่ากับ 0.4 แรมด้า ของคลื่นวิทยุนั้น ซึ่งในย่านความถี่สมัครเล่น 144 - 146 MHz ความยาวนี้จะเท่ากับ 82.75 เซนติเมตร (ใกล้เคียงกับความสูงของเด็ก) ดังนั้นจึงควรที่จะห้ามเด็กๆ ไปอยู่ใกบ้กับเครื่องวิทยุ สายอากาศและสายนำสัญญาณสำหรับความถี่ที่พอดีกับคน ที่มีความสูง 175 ซม. คือความถี่ 68 MHz ซึ่งเป็นความถี่ VHF เช่นกัน ข้อมูลมาตราฐานของ ANSI ยังไม่เป็นที่ยอมรับกัน สำหรับนักวิชาการบางกลุ่ม เพราะเห็นว่าเป็นการกำหนดที่สูงเกิน ไป เนื่องจากเป็นการศึกษาเรื่องผลของการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งความจริงแล้วจากการศึกษาที่ลึกลงไปพบว่า ผลต่อเนื้อเยื่ออันเนื่องมาจากคลื่นวิทยุ ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น ในรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่สามารถตรวจวัดได้เพียงอย่างเดียว ซึ่งจะเห็นได้จากการกำหนดมาตราฐานของ ออสเตรเลีย, สวีเดน และในบางรัฐของอเมริกา ให้ค่ามาตราฐานของ ระดับความปลอดภัยต่ำกว่าที่ ANSI กำหนดไว้

BY : คุณสมชาย ผิวรุ่งสุวรรณ (HS1WLM)  
คุณอัฒฌาชาค มหาสุคนธ (HS1CHU)
นพ.ทวีทอง ก่ออนันตกูล (HS1CCU)  

*** กลับข้างบน ***



แลมด้า
 
             คำว่า 1 แลมด้า มีค่าเท่ากับ 1 ความยาวคลื่น โดยใช้สมการคณิตศาตร์คำนวนเอาดังนี้ 1 แลมด้าเท่ากับความเร็วของอิเล็คตรอนในอากาศ ( 299,800,000 เมตรต่อวินาที) หารด้วยความถี่ที่เราใช้งาน (เช่นเราใช้งานที่ความถี่ 145,000,000 Hz หรือ 145 MHz) สรุปว่า 1 แลมด้า = 299.8 / 145 จะได้ผลลัพธ์เป็นความยาวคลื่นเท่ากับ คือ = 2.0675 เมตร (เราเลยเรียกย่านนี้ว่า ย่านทูมิเตอร์ หรือ 2 meter หรือย่าน 2 เมตรนั้นเอง)
แต่ในความเป็นจริงแล้วในสายนำสัญญาณมันไม่ใช่อากาศเลยทำให้คลื่นวิ่งได้ช้ากว่า โดยมีวิธีคิดอีกว่า ถ้าเป็นสายนำสัญญาณชนิด PVC (พวก RG ทั้งหลายแหล่) ให้เอาความยาวคลื่นที่ได้มาคูณกับ 0.66 จะได้เป็น 1 แลมด้าของสายนำสัญญาณ แต่ถ้าสายนำสัญญาณเป็นชนิดโฟม (พวก 5DFB , 8DFB , พวกที่ลงท้ายด้วย FB ทั้งหลาย) ให้เอาความยาวคลื่นที่ได้มาคูณกับ 0.78 จะได้เป็น 1แลมด้าของสายนำสัญญาณ

มาลองคิดกันดูว่าถ้าเอาสาย RG-8 มา 1 แลมด้า มาใช้งานที่ความถี่ 144.225 MHz จะต้องใช้ความยาวเท่าไหร่?

( 1 ) ความยาว 1 แลมด้า(อากาศ)ที่ความถี่ 144.225 Mhz มีค่า
= 299.8 / 144.225
= 2.078 เมตร
( 2 ) ความยาว 1 แลมด้า (สายนำสัญญาณ) ที่ความถี่ 144.225 มีค่า
= 2.078 x 0.66
= 1.371 เมตร
ตอบ; ความยาว 1 แลมด้า ของสาย RG-8 ที่ความถี่ 144.225 MHz มีค่า 1.371 เมตร.

 

*** กลับข้างบน ***

 


ระบบพิกัดกริด

            กิจการวิทยุสมัครเล่นได้นำ ระบบพิกัดกริด หรือ Grid Locator System มาใช้เพื่อบอกตำแหน่งที่ตั้งของสถานีบนพื้นโลกด้วยรหัสที่กำหนดไว้แล้ว นักวิทยุสมัครเล่นชาวอังกฤษ ชื่อ Dr. John Morris สัญญาณเรียกขาน G4ANB เป็นผู้นำเสนอระบบนี้มาใช้ และต่อมาได้มีกลุ่มนักวิทยุสมัครเล่นที่สนใจการติดต่อสื่อสารย่าน VHF ได้มีการปรับเพื่อนำมาใช้ จากการประชุมที่เมือง Maidenhead ประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1980 ซึ่งต่อมาก็ได้มีการเรียกระบบพิกัดกริดนี้ว่า Maidenhead Locator System

ระบบพิกัดกริด Maidenhead ได้ถูกนำมาใช้แทนระบบ QRA เดิมในเวลาต่อมาด้วย

ระบบพิกัดกริด Maidenhead มักเรียกกันว่า Grid Locator หรือ Grid Square อีกด้วย

 อธิบายระบบพิกัดกริด

ระบบพิกัดกริด ในการกำหนดรหัสนั้นจำเป็นต้องกำหนดให้สั้นเพื่อความสะดวกในการรับ-ส่ง

การแบ่งพื้นที่โลกจะแบ่งออกเป็นตาราง ซึ่งมีความละเอียด 3 ระดับ กำหนดรหัสกำกับทุกระดับขนาดตารางพื้นที่ เป็นรหัส 2 ตัว 4 ตัว และ 6 ตัว เริ่มจาก 2 ตัวอักษร ตัวพิมพ์ใหญ่ (upper case) และ 2 ตัวเลข และอีก 2 ตัวอักษร ตัวพิมพ์เล็ก (lower case) เรียงลำดับจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออกและจากทิศใต้ไปทิศเหนือ

ระดับแรกแบ่งพื้นที่โลกออกเป็น เขตพื้นที่ เรียกว่า ฟีลด์ (field) มีขนาดกว้าง 20 องศาเส้นแวง (20˚ of longitude) สูง 10 องศาเส้นรุ้ง (10˚ of latitude) ได้ 324 ฟีลด์ แต่ละฟิลด์กำกับด้วยรหัสอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ 2 ตัว

ระดับที่ 2 แบ่งในแต่ละพื้นที่ฟิลด์ออกเป็น ตาราง เรียกว่า สแควร์ (square) มีขนาดกว้าง 2 องศาเส้นแวง (2˚ of longitude) สูง 1 องศาเส้นรุ้ง (1˚ of latitude) ได้ 100 สแควร์ แต่ละสแควร์กำกับด้วยรหัสตัวเลข 2 ตัว ต่อจากรหัสฟิลด์

ระดับที่ 3 สุดท้าย แบ่งในแต่ละพื้นที่สแควร์ออกเป็น ตารางย่อย เรียกว่า ซับสแควร์ (subsqaure) มีขนาดกว้าง 5 ลิปดาเส้นแวง (5 minutes of longitude) และสูง 2.5 ลิปดาเส้นรุ้ง (2.5 minutes of latitude) ได้ 576 ซับสแควร์ แต่ละซับสแควร์กำกับด้วยรหัสอักษรตัวพิมพ์เล็ก 2 ตัว ต่อจากรหัสสแควร์

กำหนดให้ซับสแควร์แรกที่อยู่ในแต่ละสแควร์ตามแนวตั้ง ล่างสุดที่ 2.5 ลิปดาแรก รหัสอักษร a ถัดขึ้นมาอีก 2.5 ลิปดาทางเหนือ รหัสอักษร b เรียงขึ้นไปตามลำดับจนถึงสุดท้าย รหัสอักษร x

*** กลับข้างบน ***

 


สเปกตรัมที่ต้องการของวิทยุสมัครเล่นและวิทยุสมัครเล่นผ่านดาวเทียม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

(SPECTRUM REQUIREMENTS OF THE AMATEUR AND AMATEUR-SATELLITE SERVICES)

ในระหว่างการประชุมของตัวแทนสหภาพวิทยุสมัครเล่นนานาชาติ หรือ International Amateur Radio Union (IARU) ในปี พ.ศ. 2533 ได้ตัดสินใจให้จัดทำรายงานความต้องการความถี่วิทยุในปัจจุบันและอนาคตของกิจการวิทยุสมัครเล่นและกิจการวิทยุสมัครเล่นผ่านดาวเทียม ซึ่งจะนำไปสู่ข้อตกลงระหว่างประเทศ และนำเสนอต่อที่ประชุมใหญ่นานาชาติ เพื่อจัดสรรค์ความถี่เหล่านี้ในอนาคต

ในฐานะที่ IARU เป็นตัวแทนของนักวิทยุสมัครเล่นและวิทยุสมัครเล่นผ่านดาวเทียมทั่วโลก มีหน้าที่รับผิดชอบดังต่อไปนี้

1. ปัจจุบันมีนักวิทยุสมัครเล่นทั่วโลกเกือบ 3 ล้านคน และจากที่มีการแก้ไข ระเบียบข้อที่ 25 ในการประชุม WRC-03 ที่ยกเลิกการสอบ รหัสมอร์ส ส่งผลให้จำนวนนักวิทยุสมัครเล่นจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

2. จำนวนและชนิดของรูปแบบการติดต่อสื่อสารใหม่ที่นักวิทยุสมัครเล่นใช้งานมีการเพิ่มขึ้น และมีการคิดค้นรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น การส่งเสียงพูดแบบ Digital (Digital Voice) การส่งข้อมูล (Data) และการส่งรูปภาพ (Image) ซึ่งเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพของนักวิทยุสมัครเล่น และก็เป็นการเพิ่มความน่าสนใจของกิจการวิทยุสมัครเล่นซึ่งส่งผลให้มีความหนาแน่นของการใช้งานตามไปด้วย

3. การใช้งานรูปแบบ Single-Sideband ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากว่า 50 ปี ได้ถูกใช้งานเกือบจะทุกความถี่ที่นักวิทยุสมัครเล่นใช้งานอยู่ในปัจจุบัน เป็นโอกาสอันดีที่จะเพิ่มความถี่ใหม่ โดยเฉพาะความถี่ย่าน MF และ HF ที่มีอย่างจำกัดในปัจจุบัน

4. ปัจจุบันมีการแบ่งกันใช้งานกับกิจการอื่นในบางช่วง ความถี่ ซึ่งเป็นการใช้งานความถี่อย่างมีประสิทธิภาพ ในการแบ่งกันใช้เป็นการลดความคับคั่งของการใช้ความถี่ในกิจการอื่น ซึ่งมีข้อจำกัด เช่น มีนักวิทยุสมัครเล่นกระจายอยู่ในเกือบทุกพื้นที่ และใช้รูปแบบการติดต่อสื่อสารที่หลากหลาย อาจทำให้มีการรบกวนกันระหว่างกิจการได้

ความถี่

ถ้าสามารถทำได้ หมายเหตุ (Country Footnotes) ในแต่ละประเทศที่มีการกำหนดเพิ่มเติมหรือจัดสรรค์เป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในตารางจัดสรรค์ความถี่ที่กำหนดให้เป็นของกิจการวิทยุสมัครเล่นและกิจการวิทยุสมัครเล่นผ่านดาวเทียม ควรลบออก ควรพยายามที่จะเอารายชื่อประเทศในหมายเหตุออกแทนที่จะใส่เข้าไป

ต่ำกว่า 200 KHz

กิจการวิทยุสมัครเล่นต้องการแบ่งการใช้งานความถี่ย่าน LF ทั่วโลก

ในช่วงความถี่นี้มีลักษณะที่แตกต่างจากช่วงความถี่ที่สูงกว่า และมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายของการแพร่กระจายคลื่นย่าน LF ซึ่งต้องการทดสอบ ทดลองอีกมาก ซึ่งในปัจจุบัน ITU ยังมิได้กำหนดให้นักวิทยุสมัครเล่นได้ใช้งานในย่านความถี่ LF นี้

ได้มีการพยายามจากตัวแทนของ IARU ภูมิภาคที่ 1 นำเสนอ Recommendation 62-01 เข้าไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 1997 โดย CEPT (European Radiocommunications Committee)

Recommendation 62-01 มีข้อความดังนี้

"1) กำหนดให้ความถี่ช่วง 135.7 - 137.8 KHz เป็นกิจการรอง สำหรับกิจการวิทยุสมัครเล่น โดยกำลังส่งสูงสุดไม่เกิน 1 วัตต์ (ERP) สำหรับประเทศในกลุ่ม CEPT"

ประเทศที่อยู่ในข่ายได้รับอนุญาตเป็นพิเศษในความถี่ช่วง 135.7 - 137.8 KHz ใน ERC/REC 62-01 ครั้งนั้นได้แก่ ออสเตรีย บัลเกเรีย สาธารณรัฐเช็ค แอสโทเนีย ฟินแลนด์ ฮังการี ไอส์แลนด์ อิตาลี ลิทัวเนีย เนเธอแลนด์ นอร์เวย์ โรมาเนีย สโลเวเนีย สเปน และอังกฤษ

และมีประเทศ ออสเตเรีย อาเจ็นตินา แคนนาดา นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษในความถี่ช่วง 135.7 - 137.8 KHz

มีบางประเทศที่ได้อนุญาตเป็นการชั่วคราวให้กิจการวิทยุสมัครเล่นได้ใช้งานความถี่ LF ด้วยกำลังส่งต่ำ เช่น 160 - 190 KHz ในประเทศสหรัฐอเมริกา และ 165 - 190 KHz ในประเทศออสเตเรีย สำหรับในประเทศนิวซีแลนด์ในปี 1990 หลังจากที่ได้ข้อสรุปจาก NZART นักวิทยุสมัครเล่นก็ได้ใช้งานความถี่ช่วง 165 - 190 KHz เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งในปี 2001 การอนุญาตได้สิ้นสุดลง และได้มีการกำหนดให้ความถี่ 130 - 190 KHz เป็นความถี่ของกิจการวิทยุสมัครเล่น

ในการศึกษาความถี่นี้ซึ่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ผ่านการเห็นชอบแล้วในหลักการ ความต้องการของสมาคมวิทยุสมัครเล่นสหรัฐอเมริกา (ARRL) คือการขอแบ่งช่วงความถี่ 160 - 190 KHz ในขณะเดียวกัน ARRL ก็ต้องต่อสู้กับ FCC เพื่อขอให้กำหนดให้ความถี่ 135.7 - 137.8 KHz และ 160 - 190 KHz เป็นของกิจการวิทยุสมัครเล่น โดยเป็นกิจการรอง ในปี 2002 FCC ได้จัดทำประชาพิจารณ์เกี่ยวกับการจัดสรร์ความถี่ 160 - 190 KHz ให้กับกิจการวิทยุสมัครเล่น และในปี 2003 FCC ได้เสนอรายงานและคำสั่งกำหนดความถี่หลายช่วงเป็นของกิจการวิทยุสมัครเล่น แต่ปฏิเสธการให้ความถี่ 135.7 - 137.8 KHz เป็นผลมากจากที่มีบริษัทผลตตไฟฟ้าได้ร้องว่ากิจการวิทยุสมัครเล่นได้ก่อให้เกิดการรบกวนกับระบบสายส่งไฟฟ้า อย่างไรก็ได้ FCC ก็ยังคงอนุญาตให้ใช้งานได้ในบ้าง

The "Responsible Working Party" for the conduct of ITU-R studies related to WRC-07 agenda item 1.15 is WP 8A.

Region 3 (Darwin, 2000) recommended that an LF band segment of 15 kHz between 165 and 190 kHz and/or 135.7-137.8 kHz be sought through local administrations throughout Region 3 noting the international communications experiments that have taken and could take place. Region 3 (Taipei, 2004) updated this recommendation, referring to "in the vicinity of 180 kHz" instead of 165-190 kHz.

Region 2 (Guatemala City, 2001) urged its member-societies to support a coordinated approach to secondary allocations to the Amateur Service in the bands 135.7-137.8 kHz and 160-190 kHz.

In CITEL, Canada introduced an Inter-American Proposal to WRC-03 for a similar allocation by footnote in Region 2. Instead, WRC-03 decided to establish agenda item 1.15 for WRC-07, which reads:


1.15
to consider a secondary allocation to the amateur service in the frequency band 135.7-137.8 kHz.

ช่วง 500 KHz

1800 - 2000 KHz

3500 - 4000 KHz

ช่วง 5 MHz

7000 - 7300 KHz

10100 - 10150 KHz

กิจการวิทยุสมัครเล่นต้องการให้ขยายความถี่จากเดิม 10100 - 10150 KHz เป็น 10100 - 10350 KHz และเปลี่ยนจากกิจการรองเป็นกิจการหลัก

ความถี่ช่วง 10100 - 10150 KHz ได้รับจัดสรรค์ใหม่จากการประชุม WRC-79 โดยกำหนดให้เป็นกิจการรอง ซึ่งเป็นย่านความถี่ HF ย่านเดียวของกิจการวิทยุสมัครเล่นที่ถูกกำหนดให้เป็นกิจการรอง ซึ่งนักวิทยุสมัครเล่นที่ใช้งานย่านความถี่นี้พยายามอย่างยิ่งไม่ให้เกิดการรบกวนกับกิจการประจำที่ (Fixed Service) ที่กำหนดให้เป็นกิจการหลัก ถึงแม้จะมีข้อจำกัดอยู่แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักวิทยุสมัครเล่นเนื่องจากเป็นความถี่ระหว่างกลางของความถี่ 7 MHz และ 14 MHz เพราะในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงของการแพร่กระจายคลื่นนั้นจะมีบางช่วงที่ความถี่ 7 MHz และ 14 MHz ใช้งานไม่ค่อยดีนัก แต่ความถี่ 10 MHz จะมาอยู่ระหว่างกลาง

อย่างน้อยที่สุดกิจการวิทยุสมัครเล่นในความถี่นี้ควรมีช่วงของความถี่ 250 KHz อาจเป็นช่วง 10100 - 10350 KHz เพื่อจะได้ใช้งานอย่างเหมาะสมที่สุด และกำหนดให้เป็นกิจการหลัก

14000 - 14350 KHz

ด้วยจำนวนประชากรนักวิทยุสมัครเล่นที่เพิ่มขึ้นและมีการใช้งานอย่างอิสระในความถี่ช่วงนี้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศโดยใช้การติดต่อสื่อสารแบบ CW SSB และ Digital นั้นควรที่จะขยายกลับไปยังช่วงความถี่เดิมที่เคยได้รับ คือ 14000 - 14400 KHz

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าความถี่นี้เป็นความถี่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากของนักวิทยุสมัครเล่นที่ใช้ติดต่อระหว่างประเทศ และมักมีการใช้งานที่หนาแน่นมากทั้ง CW และ SSB ในปีที่ผ่านมาพบว่าเป็นการยากมากที่จะเพิ่มรูปแบบการติดต่อสื่อสารแบบใหม่ๆ ในช่วงความถี่ 14 MHz นี้ อาจเป็นเพราะข้อจำกัดในเรื่องของการทดลองของนักวิทยุสมัครเล่นใหม่ๆที่ไม่สามารถทำได้ในความถี่นี้

ในการประชุมที่ Washington ในปี 1927 ในความถี่ช่วงนี้กำหนดให้ตั้งแต่ความถี่ 14000 - 14400 KHz แต่ในการประชุมที่ Atlantic City เมื่อปี 1947 ได้ถูกลดความถี่ลง 50 KHz มาที่ 14000 - 14350 KHz

18068 - 18168 KHz

21000 - 21450 KHz

24890 - 24990 KHz

28.0 - 29.7 MHz

29.7 - 50 MHz

50 - 54 MHz

กิจการวิทยุสมัครเล่นต้องการคงความถี่ช่วง 50MHz นี่ไว้ และต้องการ Bandwidth อย่างน้อย 2MHz ในทุกพื้นที่ และจัดสรรค์เฉพาะนักวิทยุสมัครเล่นเท่านั้นไม่น้อยกว่า 500KHz

ความถี่ช่วงนี้ถูกใช้งานโดยนักวิทยุสมัครเล่นติดต่อระยะใกล้ได้ตลอดทั้งวัน การแพร่กระจายคลื่นโดยการสะท้อนชั้นบรรยากาศและการกระจายคลื่นฟ้า โดยสะท้อนชั้นบรรยากาศชั้น E (Sporadic-E) และในบ้างครั้งขึ้นไปจนถึงชั้น F ในช่วงที่ค่าจุดดับบนดวงอาทิตย์สูง ซึ่งส่งผลให้สามารถติดต่อได้ในระยะไกลขึ้น เช่นเดียวกับการติดต่อโดยอาศัย Aurora ในแถบประเทศขั้วโลก การติดต่อโดยการสะท้อนดาวตกโดยใช้การส่งรหัสมอร์สและการติดต่อด้วยเสียง ในปัจจุบันเราสามารถใช้คอมพิวเตอร์มาเสริมการติดต่อสื่อสารแบบสะท้อนดาวตกทำให้สามารถติดต่อได้ไกลถึง 2000 กิโลเมตร

ในแถบประเทศภูมิภาคที่ 2 และ 3 และบางประเทศในภูมิภาคที่ 1 ได้กำหนดให้นักวิทยุสมัครเล่นใช้ได้ถึง 4MHz ในช่วงความถี่นี้ และบางพื้นที่ก็ถูกกำหนดให้ใช้สำหรับการส่งสัญญาณโทรทัศน์ ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถใช้งานบางช่วงของความถี่ 50MHz นี้ได้ ในประเทศที่ใช้ใบอนุญาติ CEPT แถบยุโรป หรือภูมิภาคที่ 1 นั้นกำหนดให้ความถี่ช่วง 50 - 52 MHz เป็นกิจการรองในกิจการวิทยุสมัครเล่น ซึ่งหมายถึงต้องแบ่งกันใช้งานกับกิจการอื่น ซึ่งสมาคมวิทยุสมัครเล่นในแถบยุโรปก็ได้มีความพยายามที่จะขอให้เป็นกิจการหลักในกิจการวิทยุสมัครเล่น

70.0 - 70.5 MHz

144 - 148 MHz

กิจการวิทยุสมัครเล่นและกิจการวิทยุสมัครเล่น ต้องการคงไว้ในช่วงความถี่ 144 - 146 MHz โดยกำหนดตรงกันทั่วโลก และให้นำหมายเหตุ (Footnootes) ที่มีในบางประเทศออก และคงไว้ช่วงความถี่ 146 - 148 Mhz ในภูมิภาคที่ 2 และ 3

ในช่วงความถี่นี้ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในทุกประเทศ มีการนำ Mode ใหม่ๆ มาใช้ในความถี่นี้มาก คุณสมบัติหลักของความถี่นี้คือใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารบนพื้นโลกระยะไม่ไกลนัก ทั้งเสียงพูดและรูปแบบของเครือข่ายข้อมูล รวมทั้งการติดต่อสื่อสารสะท้อนพื้นผิวดวงจันทร์ (EME) และการติดต่อสื่อสารผ่านดาวเทียมวิทยุสมัครเล่นด้วย ในบางพื้นที่ที่มีการใช้งานความถี่นี้อย่างมาก เช่น ประเทศไทย ซึ่งนักวิทยุสมัครเล่นใหม่จะได้รับอนุญาติให้ใช้ความถี่นี่เป็นหลัก มักเกิดความหนาแน่นและกระจุกตัวของจำนวนนักวิทยุสมัครเล่น สำหรับการติดต่อแบบ EME (Earth-Moon-Earth) นั้นได้รับความนิยมมากที่สุดในความถี่นี้ เนื่องด้วยเพราะอัตรการสูญเสียและสัญญาณรบกวนที่ต่ำกว่าความถี่อื่นๆ รวมทั้งระบบสายอากาศที่ไม่ยุ่งยากด้วย ในความถี่นี้นักวิทยุสมัครเล่นยังได้เฝ้าสังเกตุการแพร่กระจายคลื่นที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ในรูปแบบแปลกได้อีกด้วย

220 - 225 MHz

420 - 450 MHz

กิจการวิทยุสมัครเล่นต้องการคงไว้ความถี่ช่วง 430 - 440 MHz ที่ครอบคลุมทุกประเทศทั่วโลก และมีการแบ่งกันใช้กับกิจการอื่นในช่วงความถี่ 430 - 430 MHz และ 440 - 450 MHz และขอให้ลบหมายเหตุ (Footnote) ในบางประเทศที่ยังคงกำหนดให้แบ่งกันใช้กับกิจการประจำที่และเคลื่อนที่ในช่วงความถี่ 430 - 440 MHz

ความถี่ช่วงนี้นับได้ว่าเป็นความถี่ที่สำคัญมากในกิจการวิทยุสมัครเล่น เป็นความถี่ที่ต่ำที่สุกที่สามารถใช้งานในรูปแบบ Fast-Scan TV (6M00C3F emission) หรือรูปแบบอื่นที่ต้องการใช้ช่วงกว้างของความถี่ (Bandwidth) คล้ายกัน ทั้งยังให้คุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมสำหรับการใช้ในการติดต่อสารด้วยเสียงพูดและการสื่อสารข้อมูล และในขณะเดียวกันก็ยังใช้เป็นความถี่ที่ใช้ทดสอบการแพร่การจายคลื่นผ่านชั้นบรรยากาศ รวมทั้งการติดต่อสื่อสารสะท้อนพื้นผิวดวงจันทร์ Earth-Moon-Earth หรือ EME อีกด้วย

การติดต่อสื่อสารผ่านดาวเทียมวิทยุสมัครเล่นก็ใช้งานความถี่นี้อย่างมากเช่นกันในช่วงความถี่ 435 - 438 MHz ซึ่งปัจจุบันการติดต่อสือสารจากอวกาศสู่พื้นโลกของกิจการวิทยุสมัครเล่นกำหนดให้อยู่ในระหว่างความถี่ 146 MHz และ 2.4 GHz เท่านั้น และด้วยความหนาแน่นของความถี่ช่วง 435 MHz - 438 MHz ซึ่งใช้ในกลุ่มดาวเทียมที่ไม่มีมนุษย์และสถานีอวกาศที่มีมนุษย์อาศัย (สถานีอวกาศ) อาจจำเป็นต้องมีการขยายช่วงความถี่ไปเป็น 435 - 440 MHz ถ้าสามารถทำได้

เพราะว่านักวิทยุสมัครเล่นมีการใช้งานรูปแบบการติดต่อสื่อสารที่น่าสนใจมากมายในความถี่ช่วงนี้ ซึ่งต้องมีการแบ่งปันกันใช้งานในเหล่านักวิทยุสมัครเล่นด้วยกันเอง ตามความถี่ เวลาและสถานที่ ในบางครั้งมีการใช้สายอากาศทิศทางที่มีอัตราขยายสูงมากๆ ในบางรูปแบบของการติดต่อสื่อสาร หรือเพื่อต้องการแบ่งกันใช้ความถี่ แต่อย่างไรก็ตามการแบ่งใช้ความถี่กับกิจการอื่นอาจมีข้อจำกัดหลายๆ อย่าง เช่น หลายครั้งมีการจำกัดการใช้งานของกิจการวิทยุสมัครเล่นเนื่องด้วยลักษณะการใช้งานของกิจการอื่น และเพื่อเป็นการเอื้ออำนวยสำหรับการติดต่อสื่อสารและการทดสอบ ทดลองต่างๆ ระหว่างประเทศ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกำหนดให้กิจการวิทยุสมัครเล่นและวิทยุสมัครเล่นผ่านดาวเทียมในทุกๆ ประเทศใช้งานช่วงความถี่ที่ตรงกัน และกำหนดให้เป็นความถี่เฉพาะ และปราศจากการรบกวนจากการใช้งานของกิจการอื่นๆ และในขณะเดียวกันก็เป็นการป้องกันการรบกวนของกิจการอื่นด้วยเช่นกัน ที่สัญญาณจากิจการวิทยุสมัครเล่นและวิทยุสมัครเล่นผ่านดาวเทียมจะเข้าไปรวบกวนได้ ตัวอย่างเช่น การที่กำหนดให้อุปกรณ์สื่อสารระยะใกล้กำลังส่งต่ำมาใช้งานอยู่ในช่วงความถี่ 433 MHz อาจได้รับการรบกวนได้

ในการประชุม ERC-2003 ครั้งที่ผ่านมาความถี่ช่วง 420 - 470 MHz ได้ถูกพยายามที่จะนำไปใช้สำหรับกิจการดาวเทียมสำรวจโลก ซึ่งในครั้งนั้น IARU ได้เข้าร่วมด้วย และพบว่าการนำความถี่ไปใช้งาน ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดการใช้ความถี่ของกิจการวิทยุสมัครเล่นและวิทยุสมัครเล่นผ่านดาวเทียม จนกว่าจะมีความเห็นเป็นที่น่าพอใจของ Recommendation ITU-R SA.1260 ซึ่งต่อมาได้ผ่านการพิจารณาในปี 2003 และในที่ประชุม WRC-03 ได้กำหนดให้กิจการดาวเทียมสำรวจโลกมาใช้เป็นกิจการรองในความถี่ 432 - 438 MHz

Fixed Wireless Access (FWA) ก็ได้นำเสนอแผนที่จะนำความถี่ 423.05 - 430 MHz และ 440 - 450 MHz ในประเทศภูมิภาคที่ 2 ซึ่งไม่ได้กำหนดให้เป็นของกิจการวิทยุสมัครเล่น ไปใช้งานสำหรับ FWA

ความถี่ระหว่าง 450 MHz ถึง 24 GHz

902 - 928 MHz

1240 - 1300 MHz

2300 - 2450 MHz

3300 - 3500 MHz

5650 - 5925 MHz

10 - 10.5 GHz

ความถี่สูงกว่า 24 GHz

24 - 24.05 GHz

กิจการวิทยุสมัครเล่นต้องการให้กำหนดความถี่นี้เป็นความถี่หลักสำหรับกิจการวิทยุสมัครเล่นช่วง 24 - 24.05 GHz

24.05 - 24.25 GHz

กิจการวิทยุสมัครเล่นต้องการให้กำหนดความถี่นี้เป็นความถี่หลักสำหรับกิจการวิทยุสมัครเล่นช่วง 24.05 - 24.25 GHz

47 - 47.2 GHz

กิจการวิทยุสมัครเล่นต้องการให้กำหนดความถี่นี้เป็นความถี่หลักสำหรับกิจการวิทยุสมัครเล่นช่วง 47 - 47.2 GHz

ความถี่ระหว่าง 71 GHz ถึง 275 GHz

ความถี่สูงกว่า 275 GHz

 

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความถี่ต่อเนื่องกันเป็นช่วงกว้างเราเรียกช่วงความถี่เหล่านี้ว่า "สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า" และมีชื่อเรียกช่วงต่าง ๆ ของความถี่ต่างกันตามแหล่งกำเนิดและวิธีการตรวจวัดคลื่น


สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

 

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดต่าง ๆในสเปกตรัมมีสมบัติที่สำคัญเหมือนกันคือ เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วเท่ากับแสงและมีพลังงานส่งผ่านไปพร้อมกับคลื่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้นมีชื่อเรียกดังนี้

1. คลื่นวิทยุ

คลื่นวิทยุมีความถี่ช่วง 104 - 109 Hz( เฮิรตซ์ ) ใช้ในการสื่อสาร คลื่นวิทยุมีการส่งสัญญาณ 2 ระบบคือ

1.1 ระบบเอเอ็ม (A.M. = amplitude modulation)

ระบบเอเอ็ม มีช่วงความถี่ 530 - 1600 kHz( กิโลเฮิรตซ์ ) สื่อสารโดยใช้คลื่นเสียงผสมเข้าไปกับคลื่นวิทยุเรียกว่า "คลื่นพาหะ" โดยแอมพลิจูดของคลื่นพาหะจะเปลี่ยนแปลงตามสัญญาณคลื่นเสียง

ในการส่งคลื่นระบบ A.M. สามารถส่งคลื่นได้ทั้งคลื่นดินเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงขนานกับผิวโลกและคลื่นฟ้าโดยคลื่นจะไปสะท้อนที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แล้วสะท้อนกลับลงมา จึงไม่ต้องใช้สายอากาศตั้งสูงรับ

1.2 ระบบเอฟเอ็ม (F.M. = frequency modulation)

ระบบเอฟเอ็ม มีช่วงความถี่ 88 - 108 MHz (เมกะเฮิรตซ์) สื่อสารโดยใช้คลื่นเสียงผสมเข้ากับคลื่นพาหะ โดยความถี่ของคลื่นพาหะจะเปลี่ยนแปลงตามสัญญาณคลื่นเสียง

ในการส่งคลื่นระบบ F.M. ส่งคลื่นได้เฉพาะคลื่นดินอย่างเดียว ถ้าต้องการส่งให้คลุมพื้นที่ต้องมีสถานีถ่ายทอดและเครื่องรับต้องตั้งเสาอากาศสูง ๆ รับ

2.
คลื่นโทรทัศน์และไมโครเวฟ

คลื่นโทรทัศน์และไมโครเวฟมีความถี่ช่วง 108 - 1012 Hz มีประโยชน์ในการสื่อสาร แต่จะไม่สะท้อนที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แต่จะทะลุผ่านชั้นบรรยากาศไปนอกโลก ในการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์จะต้องมีสถานีถ่ายทอดเป็นระยะ ๆ เพราะสัญญาณเดินทางเป็นเส้นตรง และผิวโลกมีความโค้ง ดังนั้นสัญญาณจึงไปได้ไกลสุดเพียงประมาณ 80 กิโลเมตรบนผิวโลก อาจใช้ไมโครเวฟนำสัญญาณจากสถานีส่งไปยังดาวเทียม แล้วให้ดาวเทียมนำสัญญาณส่งต่อไปยังสถานีรับที่อยู่ไกล ๆ

เนื่องจากไมโครเวฟจะสะท้อนกับผิวโลหะได้ดี จึงนำไปใช้ประโยชน์ในการตรวจหาตำแหน่งของอากาศยาน เรียกอุปกรณ์ดังกล่าวว่า เรดาร์ โดยส่งสัญญาณไมโครเวฟออกไปกระทบอากาศยาน และรับคลื่นที่สะท้อนกลับจากอากาศยาน ทำให้ทราบระยะห่างระหว่างอากาศยานกับแหล่งส่งสัญญาณไมโครเวฟได้

3. รังสีอินฟาเรด (infrared rays)

รังสีอินฟาเรดมีช่วงความถี่ 1011 - 1014 Hz หรือความยาวคลื่นตั้งแต่ 10-3 - 10-6 เมตร ซึ่งมีช่วงความถี่คาบเกี่ยวกับไมโครเวฟ รังสีอินฟาเรดสามารถใช้กับฟิล์มถ่ายรูปบางชนิดได้ และใช้เป็นการควบคุมระยะไกลหรือรีโมทคอนโทรลกับเครื่องรับโทรทัศน์ได้

4.
แสง (light)

แสงมีช่วงความถี่ 1014Hz หรือความยาวคลื่น 4x10-7 - 7x10-7 เมตร เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ประสาทตาของมนุษย์รับได้ สเปคตรัมของแสงสามารถแยกได้ดังนี้

สี

ความยาวคลื่น (nm)

ม่วง

380-450

น้ำเงิน

450-500

เขียว

500-570

เหลือง

570-590

แสด

590-610

แดง

610-760


5. รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet rays)

รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสีเหนือม่วง มีความถี่ช่วง 1015 - 1018 Hz เป็นรังสีตามธรรมชาติส่วนใหญ่มาจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ ซึ่งทำให้เกิดประจุอิสระและไอออนในบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ รังสีอัลตราไวโอเลต สามารถทำให้เชื้อโรคบางชนิดตายได้ แต่มีอันตรายต่อผิวหนังและตาคน

6.
รังสีเอกซ์ (X-rays)

รังสีเอกซ์ มีความถี่ช่วง 1016 - 1022 Hz มีความยาวคลื่นระหว่าง 10-8 - 10-13 เมตร ซึ่งสามารถทะลุสิ่งกีดขวางหนา ๆ ได้ หลักการสร้างรังสีเอกซ์คือ การเปลี่ยนความเร็วของอิเล็กตรอน มีประโยชน์ทางการแพทย์ในการตรวจดูความผิดปกติของอวัยวะภายในร่างกาย ในวงการอุตสาหกรรมใช้ในการตรวจหารอยร้าวภายในชิ้นส่วนโลหะขนาดใหญ่ ใช้ตรวจหาอาวุธปืนหรือระเบิดในกระเป๋าเดินทาง และศึกษาการจัดเรียงตัวของอะตอมในผลึก

7.
รังสีแกมมา (-rays)

รังสีแกมมามีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้ามีความถี่สูงกว่ารังสีเอกซ์ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์และสามารถกระตุ้นปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้ มีอำนาจทะลุทะลวงสูง


คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  เป็นคลื่นชนิดหนึ่งที่ไม่ต้องใช้ตัวกลางในการเคลื่อนที่  เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ ปัจจุบันมีการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในหลายๆด้านเช่น การติดต่อสื่อสาร ( มือถือ โทรทัศน์ วิทยุ เรดาร์ ใยแก้วนำแสง) ทางการแพทย์(รังสีเอกซ์) การทำอาหาร(คลื่นไมโครเวฟ) การควบคุมรีโมท(รังสีอินฟราเรด) คุณสมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคือเป็นคลื่นท่เกิดจากคลื่นไฟฟ้าและคลื่นแม่เหล็กตั้งฉากกันและเคลื่อนที่ไปยังทิศทางเดียวกัน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถเดินทางได้ด้วยความเร็ว 299,792,458 m/s หรือเทียบเท่ากับความเร็วแสง

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เกิดจากการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic disturbance) โดยการทำให้สนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อสนามไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็ก หรือถ้าสนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลงก็จะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นตามขวาง ประกอบด้วยสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กที่มีการสั่นในแนวตั้งฉากกัน และอยู่บนระนาบตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่โดยไม่อาศัยตัวกลาง จึงสามารถเคลื่อนที่ในสุญญากาศได้ สเปกตรัม (Spectrum) ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะประกอบด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่และความยาวคลื่นแตกต่างกัน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ คลื่นแสงที่ตามองเห็น อัลตราไวโอเลต อินฟราเรด คลื่นวิทยุ โทรทัศน์ ไมโครเวฟ รังสีเอกซ์ รังสีแกมมา เป็นต้น ดังนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จึงมีประโยชน์มากในการสื่อสารและโทรคมนาคม และทางการแพทย์

สมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

1.       ไม่ต้องใช้ตัวกลางในการเคลื่อนที่

2.       อัตราเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิดในสุญญากาศเท่ากับ 299,792,458 m/s ซึ่งเท่ากับ อัตราเร็วของแสง

3.       เป็นคลื่นตามขวาง

4.       ถ่ายเทพลังงานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง

5.       ถูกปล่อยออกมาและถูกดูดกลืนได้โดยสสาร

6.       ไม่มีประจุไฟฟ้า

7.       คลื่นสามารถแทรกสอด สะท้อน หักเห และเลี้ยวเบนได้

 

 

 

เจมส์ คลาร์ก แมเวล : James Clark Maxwell

 

เกิด        วันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1831 ที่เอดินเบิร์ก (Edinburg) ประเทศสก็อตแลนด์ (Scotland)

เสียชีวิต วันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1879 ที่เคมบริดจ์ (Cambridge) ประเทศอังกฤษ (England)

ผลงาน   - ทฤษฎีพลังงานจลน์ของความร้อน (Kinetic Theory of Heat)

             - ทฤษฎีพลังงานจลน์ของก๊าซ (Kinetic Theory of Gas)

             - ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

 

        ผู้ค้นพบทฤษฎีความร้อนซึ่งเป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เขามากที่สุดนอกจากนี้เขายังค้นพบว่าแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถ

ผ่านอีเทอร์ได้ โดยมีความเร็วเท่ากับความเร็วแสง

 

        แมกเวลเกิดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1831 ที่เอดินเบิร์ก ประเทศสก็อตแลนด์ ในตระกูลที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงมาก

 

        หลังจากที่แมกเวลจบการศึกษาขั้นต้นแล้ว เขาได้เข้าเรียนต่อวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก (Edinburg University)

ในระหว่างที่เขาศึกษาอยู่ที่นี่ เขาได้รู้จักกับนักฟิสิกส์ท่านหนึ่ง วิลเลี่ยม นิคอน (William Nikon) ซึ่งค้นคว้าเกี่ยวกับแสง เพื่อใช้สำหรับการถ่ายภาพเขาได้ประดิษฐ์ปริซึมแบบพาราโบลาขึ้นมา แมกเวลได้พบว่าแม่สีของแสงมี 3 สี ได้แก่ แสงสีแดง

เขียว และน้ำเงิน ซึ่งทฤษฎีนี้ได้นำมาใช้เกี่ยวกับการอัดภาพสี

 

         หลังจากจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเอดินเบิร์กแล้ว แมกเวลได้เข้าเรียนต่อวิชาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

(Cambidge University) จบการศึกษาด้วยปริญญาเกียรตินิยมอันดับ1หลังจากนั้นเขาได้ทำงานในตำแหน่งศาสตราจารย์

วิชาปรัชญาธรรมชาติที่วิทยาลัยมาริสคาล (Marischal College) ที่กรุงอะเบอร์ดีน (Aberdeen) ในระหว่างที่เขา

ทำงานอยู่ที่มาริสคาล เขาได้เข่าร่วมกับคณะดาราศาสตร์ เพื่อค้นคว้าหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลักษณะของวงแหวนของดาวเสาร์ แมกเวลได้เสนอความเห็นว่าวงแหวนของดาวเสาร์ประกอบไปด้วยดาวเคราะห์น้อย (Planetoid) จำนวนมากมายทั้งขนาดใหญ่

่และขนาดเล็ก รวมตัวกันจนมีความหนาแน่นรอบ ๆ ดาวเสาร์ ซึ่งเมื่อมองจากโลกจะเห็นเป็นวงแหวน แต่นักดาราศาสตร์ในยุคนั้นเชื่อว่าวงแหวนของดาวเสาร์เป็นของแข็ง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นเมื่อดาวเสาร์หมุนรอบตัวเองก็จะเกิดแรงเหวี่ยงมหาศาลกระทำต่อวงแหวนนี้จนแตกหัก เมื่อทฤษฎีของแมกเวลเผยแพร่ออกไปนักดาราศาสตร์ต่างก็ให้การยอมรับ และสนับสนุนทฤษฎีของแมกเวล

 

        ในปี ค.ศ. 1860 แมกเวลได้ย้ายไปทำงานที่วิทยาลัยคิงส์ (King's College) ที่กรุงลอนดอนในตำแหน่งศาสตราจารย์

วิชาฟิสิกส์ เข้าทำงานอยู่ที่นี่ได้ประมาณ 5 ปี ก็ลาออก และย้ายไปอยู่ที่เมืองเคนซิงต้น (Kensingtion) ประเทศสก็อตแลนด์

เพื่อทำการทดลองเกี่ยวกับก๊าซ ในเรื่องของการเคลื่อนที่ ความเร็ว และทิศทางการฟุ้งกระจายของก๊าซ โดยแมกเวลได้ทำการ

ศึกษาก๊าซที่ละชนิดที่อยู่ในภาชนะ และนอกภาชนะ จากการทดลองแมกเวลได้ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับพลังงานจลน์ของก๊าซขึ้น แต่ด้วยในขณะนั้นมีนักวิทยาศาสตร์อีกท่านหนึ่ง ชื่อ ลุดวิค โบลทซ์มาน (Ludwig Boltzmann) ได้ทำการค้นคว้าทดลอง

และได้ผลสรุปเช่นเดียวกับแมกเวล จึงมีชื่อเรียกทฤษฎีแห่งพลังงานจลน์นี้ว่า "ทฤษฎีแห่งพลังงานจลน์แมกเวล - โบลทซ์มาน

ของก๊าซ (Kinetic Maxwell - Boltzmann Theory of Gas)" เข้าได้นำหลังการเดียวกันนี้มาทดลองเกี่ยวกับความร้อน

ขึ้นบ้าง และค้นพบ ทฤษฎีพลังงานจลน์ของความร้อน (Kinetic Theory of Heat) ในเวลาต่อมา

 

        ในปี ค.ศ. 1864 แมกเวลได้เริ่มการทดลองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างแม่เหล็กและไฟฟ้าแมกเวลกล่าวว่า ไฟฟ้าและแม่เหล็กมีความสัมพันธ์กันเมื่อมีแม่เหล็กก็ต้องมีไฟฟ้า ดังนั้นแมกเวลจึงใช้หลักการนี้สร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้น โดยการปล่อยกระแสไฟฟ้าให้แผ่รัศมีออกไป โดยใช้ความเร็วคงที่ จากการคำนวณของแมกเวลที่เกิดจากการนำอำนาจแม่เหล็ก

กับหน่วยไฟฟ้ามาหาอัตราส่วนกัน ผลปรากฏว่าความเร็วที่เหมาะสม คือ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที

 

        ในปี ค.ศ. 1871 แมกเวลได้เข้าทำงานอีกครั้งหนึ่งในตำแหน่งศาสตราจารย์ควบคุมห้องทดลองของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และด้วยความนับถือในผลงานของเฮนรี่ คาเวนดิช เขาจึงได้ริเริ่มสร้างห้องทดลองคาเวนดิชขึ้นในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับคาเวนดิชห้องทดลองนี้มีชื่อว่า ห้องทดลองฟิสิกส์คาเวนดิช

 

ประเภทของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
          
แสงที่ตามองเห็น (Visible light) เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในช่วงซึ่งประสาทตาของมนุษย์สามารถสัมผัสได้ ซึ่งมีความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 400 – 700 นาโนเมตร (1 เมตร = 1,000,000,000 นาโนเมตร) หากนำแท่งแก้วปริซึม (Prism) มาหักเหแสงอาทิตย์ เราจะเห็นว่าแสงสีขาวถูกหักเหออกเป็นสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง คล้ายกับสีของรุ้งกินน้ำ เรียกว่า “สเปคตรัม” (Spectrum) แสงแต่ละสีมีความยาวคลื่นแตกต่างกัน สีม่วงมีความยาวคลื่นน้อยที่สุด
สีแดงมีความยาวคลื่นมากที่สุด


ภาพที่ 2  ประเภทของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

          นอกจากแสงที่ตามองเห็นแล้วยังมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดอื่นๆ ได้แก่ รังสีที่มีความยาวคลื่นถัดจากสีแดงออกไป
เราเรียกว่า “รังสีอินฟราเรด” หรือ “รังสีความร้อน” เรามองไม่เห็นรังสีอินฟราเรด แต่เราก็รู้สึกถึงความร้อนได้ สัตว์บางชนิด เช่น งู มีประสาทสัมผัสรังสีอินฟราเรด มันสามารถทราบตำแหน่งของเหยื่อได้ โดยการสัมผัสรังสีอินฟราเรดซึ่งแผ่ออกมาจากร่างกายของเหยื่อ รังสีที่มีความยาวคลื่นน้อยกว่าแสงสีม่วงเรียกว่า “รังสีอุลตราไวโอเล็ต” แม้ว่าเราจะมองไม่เห็น แต่เมื่อเราตากแดดนานๆ ผิวหนังจะไหม้ด้วยรังสีชนิดนี้ นอกจากรังสีอุลตราไวโอเล็ตและรังสีอินฟราเรดแล้ว ยังมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ซึ่งเรียงลำดับตามความยาวคลื่นได้ดังนี้
          รังสีแกมมา (Gamma ray) เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นน้อยกว่า 0.01 นาโนเมตร โฟตอนของรังสีแกมมามีพลังงานสูงมาก กำเนิดจากแหล่งพลังงานนิวเคลียร์ เช่น ดาวระเบิด หรือ ระเบิดปรมาณู เป็นอันตรายมากต่อสิ่งมีชีวิต
          รังสีเอ็กซ์ (X-ray) มีความยาวคลื่น 0.01 - 1 นาโนเมตร มีแหล่งกำเนิดในธรรมชาติมาจากดวงอาทิตย์ เราใช้รังสีเอ็กซ์ในทางการแพทย์ เพื่อส่องผ่านเซลล์เนื้อเยื่อ แต่ถ้าได้ร่างกายได้รับรังสีนี้มากๆ ก็จะเป็นอันตราย
           รังสีอุลตราไวโอเล็ต (Ultraviolet radiation) มีความยาวคลื่น 1 - 400 นาโนเมตร รังสีอุลตราไวโอเล็ตมีอยู่ในแสงอาทิตย์ เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากได้รับมากเกินไปก็จะทำให้ผิวไหม้ และอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง
          แสงที่ตามองเห็น (Visible light) มีความยาวคลื่น 400 – 700 นาโนเมตร พลังงานที่แผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์ ส่วนมากเป็นรังสีในช่วงนี้ แสงแดดเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของโลก และยังช่วยในการสังเคราะห์แสงของพืช
          รังสีอินฟราเรด (Infrared radiation) มีความยาวคลื่น 700 นาโนเมตร – 1 มิลลิเมตร โลกและสิ่งชีวิตแผ่รังสีอินฟราเรดออกมา ก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ และไอน้ำ ในบรรยากาศดูดซับรังสีนี้ไว้ ทำให้โลกมีความอบอุ่น เหมาะกับการดำรงชีวิต
           คลื่นไมโครเวฟ (Microwave) มีความยาวคลื่น 1 มิลลิเมตร – 10 เซนติเมตร ใช้ประโยชน์ในด้านโทรคมนาคมระยะไกล นอกจากนั้นยังนำมาประยุกต์สร้างพลังงานในเตาอบอาหาร
           คลื่นวิทยุ (Radio wave) เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นมากที่สุด คลื่นวิทยุสามารถเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศได้ จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม

 

สเปกตรัมของความถี่วิทยุ

ชื่อย่านความถี่

ITU ย่านที่

ความถี่
ความยาวคลื่น

ตัวอย่างการใช้งาน

 

 

< 3 Hz
> 100,000 km

 

ELF(Extremely low frequency)

1

3-30 Hz
100,000 km - 10,000 km

การสื่อสารกับเรือดำน้ำ

SLF(Super low frequency)

2

30-300 Hz
10,000 km - 1000 km

การสื่อสารกับเรือดำน้ำ

ULF(Ultra low frequency)

3

300-3000 Hz
1000 km - 100 km

การสื่อสารในเหมือง

VLF(Very low frequency)

4

3-30 kHz
100 km - 10 km

การสื่อสารใต้น้ำ, avalanche beacons, ระบบติดตามอัตราการเต้นของหัวใจแบบไร้สาย, ธรณีฟิสิกส์(geophysics)

LF(Low frequency)

5

30-300 kHz
10 km - 1 km

วิทยุนำร่อง, สัญญาณเวลา, ออกอากาศวิทยุ AM คลื่นยาว

MF(Medium frequency)

6

300-3000 kHz
1 km - 100 m

ออกอากาศวิทยุ AM คลื่นความยาวกลาง

HF(High frequency)

7

3-30 MHz
100 m - 10 m

วิทยุคลื่นสั้น, วิทยุสมัครเล่น และ การสื่อสารทางการบินที่ระยะข้ามเส้นขอบฟ้า

VHF(Very high frequency)

8

30-300 MHz
10 m - 1 m

FM, ออกอากาศโทรทัศน์ และ การสื่อสารแบบแนวตรงไม่โดนบดบัง(line-of-sight) จากพื้นสู่อากาศ และ จากอากาศสู่อากาศ

UHF(Ultra high frequency)

9

300-3000 MHz
1 m - 100 mm

ออกอากาศโทรทัศน์, โทรศัพท์มือถือ, wireless LAN, บลูทูธ, และวิทยุสองทาง เช่น วิทยุ FRS และ วิทยุ GMRS

SHF(Super high frequency)

10

3-30 GHz
100 mm - 10 mm

อุปกรณ์ไมโครเวฟ, wireless LAN, เรดาห์สมัยใหม่

EHF(Extremely high frequency)

11

30-300 GHz
10 mm - 1 mm

Radio astronomy, high-speed microwave radio relay

 

 

ความถี่สูงกว่า 300 GHz
< 1 mm

 

หมายเหตุ

·        ที่ย่านความถี่สูงกว่า 300 GHz ชั้นบรรยากาศของโลกจะดูดซับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่กระจายออกได้มาก ทำให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่สามารถแผ่กระจายออกไปได้ ซึ่งคลื่นแม่เหล็กในย่านที่สูงกว่า 300 GHz นี้จะไม่สามารถแผ่กระจายผ่านชั้นบรรยากาศได้ จนถึงย่านความถี่ช่วง อิฟราเรด และ ย่านความถี่แสง

·        ย่าน ELF SLF ULF และ VLF จะคาบเกี่ยวกับย่านความถี่เสียงซึ่งประมาณ 20-20,000 Hz แต่เสียงนั้นเป็นคลื่นกลจากแรงดันอากาศ ไม่ได้เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

·        ย่าน SHF และ EHF บางครั้งก็ไม่นับเป็นย่านความถี่วิทยุ แต่เรียกเป็นย่านความถี่ไมโครเวฟ

·        อีกจุดหนึ่งที่น่าสังเกตคือ วัตถุทุกชนิดนั้นจะมีความถี่วิทยุของตัวเองไม่ว่าจะม่ขนาดเล็กเท่าใดก็ตาม

ย่านความถี่ออกอากาศ:

·        วิทยุ AM คลื่นยาว (Longwave AM Radio) = 150kHz - 280kHz (LF)

·        วิทยุ AM คลื่นความยาวขนาดกลาง (Mediumwave AM Radio) = 530kHz - 1610kHz (MF)

·        TV ย่าน I (Channels 2 - 6) = 54MHz - 88MHz (VHF)

·        วิทยุ FM ย่าน II = 88MHz - 108MHz (VHF)

·        TV ย่าน III (Channels 7 - 13) = 174MHz - 216MHz (VHF)

·        TV ย่าน IV & V (Channels 14 - 69) = 470MHz - 806MHz (UHF)

ความถี่วิทยุสมัครเล่น

ความถี่ของกิจการวิทยุสมัครเล่นนั้นขึ้นกับรัฐบาลของแต่ละประเทศที่จะอนุญาตให้นักวิทยุสมัครเล่นได้ใช้งาน นักวิทยุสมัครเล่นมักเรียกความถี่โดยการใช้ความยาวคลื่น เช่น ความถี่ 7.0 ก็จะเรียกว่า 40 m หรือ "ย่านสี่สิบเมตร"

ความยาวคลื่น

ความถี่

160 m

1.8 ถึง 2.0 MHz

80 m

3.5 ถึง 4.0 MHz

60 m

5.3 ถึง 5.4 MHz

40 m

7 ถึง 7.3 MHz

30 m

10.1 ถึง 10.15 MHz

20 m

14 ถึง 14.35 MHz

15 m

21 ถึง 21.45 MHz

12 m

24.89 ถึง 24.99 MHz

10 m

28.0 ถึง 29.7 MHz

6 m

50 ถึง 54 MHz

2 m

144 ถึง 148 MHz

70 cm

430 ถึง 440 MHz

23 cm

1240 ถึง 1300 MHz

 

ย่านความถี่ IEEE

ย่าน

ความถี่

ที่มาของชื่อ

HF band

3 to 30 MHz

High Frequency

VHF band

30 to 300 MHz

Very High Frequency

UHF band

300 to 1000 MHz

Ultra High Frequency

Frequencies from 216 to 450 MHz were sometimes called P-band: Previous, since early British Radar used this band but later switched to higher frequencies.

L band

1 to 2 GHz

Long wave

S band

2 to 4 GHz

Short wave

C band

4 to 8 GHz

Compromise between S and X

X band

8 to 12 GHz

Used in WW II for fire control, X for cross (as in crosshair)

Ku band

12 to 18 GHz

Kurz-under

K band

18 to 26 GHz

German Kurz (short)

Ka band

26 to 40 GHz

Kurz-above

V band

40 to 75 GHz

 

W band

75 to 111 GHz

W follows V in the alphabet

 

ย่านความถี่ EU, NATO, US ECM

 

ย่าน

ความถี่

A band

0 ถึง 0.25 GHz

B band

0.25 to 0.5 GHz

C band

0.5 to 1.0 GHz

D band

1 to 2 GHz

E band

2 to 3 GHz

F band

3 to 4 GHz

G band

4 to 6 GHz

H band

6 to 8 GHz

I band

8 to 10 GHz

J band

10 to 20 GHz

K band

20 to 40 GHz

L band

40 to 60 GHz

M band

60 to 100 GHz

 

 

*** กลับข้างบน ***

 

ประวัติกิจการวิทยุสมัครเล่นในประเทศไทย

สมาคมวิทยุสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นมาโดยบุคคล 6 ท่าน คือ

  1. พ.ท. กำชัย โชติกุล จเรทหารศูนย์การทหารปืนใหญ่ และหัวหน้าสถานีวิทยุศูนย์การบินทหารปืนใหญ่ ลพบุรี (ยศขณะนั้น) (HS1 WR คุณลุง HS4 BBU เองครับ)
  2. นายเสงี่ยม เผ่าทองศุข รองอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข
  3. นายโยนัส เอ็ดดี้ หรือ อมฤทธิ์ จิรา เจ้าของบริษัท ยี.ซีมอน เรดิโอ จำกัด
  4. นายงโรเบิร์ต อี เลียว สถาบันค้นคว้าและวิจัยแสตนปอร์ด
  5. นายแฟรงค์ เอ. ฟิลิปส์ เจ้าหน้าที่คณะทูตทหารอเมริกัน
  6. ร.อ. เคนเนธ เอ็ม. ไอริช จูเนียร์ เจ้าหน้าที่คณะทูตทหารอเมริกัน

ได้ยื่นขอจดทะเบียนสมาคมตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2506 จนได้รับอนุญาตเลขที่ ค. 99/2507 ต่อมาได้ยื่นขอจดทะเบียนนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อกรมตำรวจ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2507 เป็นนิติบุคคลเลขที่ จ. 843 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2507 จากกองบังคับการตำรวจสันติบาล

นับแต่ก่อตั้งได้เข้าเป็นสมาชิกของ IARU แต่ยังมิได้จดทะเบียนอย่างเป็นทางการ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นวิทยุอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นักวิทยุยังไม่ผ่านการสอบเป็นพนักงานวิทยุสมัครเล่นอย่างถูกต้อง

มีการพบปะสังสรรค์กันทุกสัปดาห์ที่โรงแรมโอเรียลเต็ลในนามชื่อย่อ RAST มีจำนวนสมาชิกทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ มาร่วมเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังมิได้รับการรับรองจากหน่วยงานของทางราชการ เนื่องจากขณะนั้นประเทศไทยกำลังอยุ่ในสภาวะฉุกเฉินของสงครามเวียดนาม และการก่อการร้ายในประเทศไทย แต่การดำเนินงานของสมาคมคงเป็นไปอย่างปกติ ได้ย้ายสถานที่ประชุมจากโรงแรมโอเรียลเต็ลมาเป็นโรงแรม เอราวัณซึ่งเป็นโรงแรมของรัฐบาล ดำเนินการโดย พล.ท. เฉลิมชัย จารุวัตร ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับ พ.อ. กำชัย เป็นอย่างดี

กิจการวิทยุสมัครเล่นในหลายสมัยที่ พ.อ. กำชัย ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมติดต่อกันเป็นเวลากว่าสิบปีดำเนินไปด้วยดี โดยมิได้รับการตำหนิหรือท้วงติงจากทางราชการที่เกี่ยวข้องแต่ประการใด ในระยะเวลานั้นทางสมาคมฯ ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุม SEANET ที่โรงแรมเอราวัณ ถึง 2 ครั้ง และงานสำคัญอื่นๆ เกี่ยวกับวิทยุสมัครเล่นในภูมิภาคเอเชียอีกหลายครั้งอย่างต่อเนื่องด้วยความเรียบร้อยทุกประการ

วัตถุประสงค์ของกิจการวิทยุสมัครเล่นแห่งประเทศไทยนั้นได้จดทะเบียนไว้อย่างชัดเจนว่าเพื่อเป็นสมาคมของ

ที่ตั้ง

ที่ทำการของนายกสมาคม
23/12 ซ.เจริญพร 2 ถ.ประดิพัทธิ์ 6 แขวงสามเสนใน เขตพญาไทย กทม. 10400 โทร. 02-6184435

ตู้ ปณ. 2008 กรุงเทพฯ 10501
P.O.Box 2008 Bangkok 10501 Thailand

website : http://www.rast.or.th และ http://www.qsl.net/rast

วัตถุประสงค์ของสมาคม

  1. ส่งเสริมให้สมาชิกใช้ความถี่ย่านวิทยุสมัครเล่น สร้างสรรค์ความสามัคคี และ มิตรภาพ
  2. พัฒนาความรู้ด้านวิชาการการสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุแก่สมาชิกและประชาชน
  3. ฝึกฝนอบรมสมาชิกให้เป็นพนักงานวิทยุสมัครเล่นที่มีความรู้ความชำนาญยิ่งๆขึ้นไป
  4. เสริมสร้างประโยชน์ต่อสังคมและความปลอดภัยของประเทศชาติ
  5. ส่งเสริมให้สมาชิกใช้วิทยุรับ–ส่งคมนาคมเป็นข่ายสื่อสารสาธารณะสำรอง ในยาม ฉุกเฉิน หรือเกิดภัยพิบัติ
  6. เพิ่มพูนจำนวนสมาชิกให้เป็นพนักงานวิทยุสำรองไว้รับใช้สังคมและประเทศชาติ ทั้งในยามสงบและฉุกเฉิน
  7. สร้างชื่อเสียงของสมาคมและประเทศชาติ ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในวงการวิทยุ ระหว่างประเทศ
  8. ดำเนินการออกหนังสือข่าว
  9. ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้า การเมืองและการศาสนา

คณะกรรมการ ปัจจุบัน (2549 - 2551)

สัญญาณเรียกขาน

ชื่อ-นามสกุล

ตำแหน่ง

HS1QVD

นายชัยยง ว่องวุฒิกำจร

นายก

HS1DN

พ.อ.(พิเศษ) ประสิทธิ์ นีละโยธิน

อุปนายก

HS1WFK

นายพัฒนดิฐ กุลไพจิตร

เลขาธิการ

HS1LCC

นางญาณี จุลละเกศ

เหรัญญิก

HS0QAA

นางสาวพัชรา พัชราวนิช

กรรมการฝ่ายบัญชี

HS1JC

นายครรชิต จามรมาน

กรรมการฝ่ายวิชาการ

HS1RGF

นายอุทัย กนกวุฒิพงศ์

กรรมการฝ่ายกฎหมาย

HS1CHB

พ.ต. นริศรา เชาวนาศัย

กรรมการฝ่ายกิจกรรม

OZ1HET

นายฟิน คริสเตียน โอลเซน เยนเซน

กรรมการฝ่ายสถานีวิทยุ

HS0ZEN

นายไบรอัน คาร์ล จอห์น ลี

กรรมการฝ่ายต่างประเทศ

HS7XPE

นายสรรเสริญ เรืองฤทธิ์

นายทะเบียน

อดีตนายก

สัญญาณเรียกขาน

ชื่อ-นามสกุล

ปี พ.ศ.

HS1YL

นางมยุรี โชติกุล

2535 - 2549

HS1HB

นายวิกรม บุญยัษฐิติ

2533 - 2534

HS1SS

นายศรีภูมิ ศุขเนตร

2530 - 2531

HS1WB

นายจำนงค์ ภิรมย์ภักดี

2527 - 2530

HS1KV

ดร.รชฎ กาญจนวนิช

2526 - 2527

HS1NG

ดร.กัญจน์ นาคามดี

มิ.ย. - ธ.ค. 2525

HS1WR

พ.อ. (พิเศษ) กำชัย โชติกุล

2510 - 2526

HS1HJA

นายสุรเดช วิเศษสุรการ

2507 - 2510

 

        วันที่ 10 พฤศจิกายนน พ.ศ. 2507 มีการก่อตั้งสมาคมวิทยุสมัครเล่นแห่งประเทศไทย มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Radio Amateur Society of Thailand (RAST)

ก่อนหน้านั้น กิจการวิทยุสมัครเล่น มีขึ้นในประเทศไทยหลายสิบปีแล้ว จากการบอกกล่าวของนักวิทยุสมัครเล่นรุ่นแรกๆเล่าว่าได้มากกว่า 60 ปี แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากทั้งประชาชนทั่วไปและจากรัฐบาลเท่าใดนัก

นับจากก่อตั้งเป็นเวลากว่า 40 ปีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปมากขึ้นเป็นลำดับ

โดยที่สมาคมวิทยุสมัครเล่นแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ "เพื่อเป็นสมาคมของนักวิทยุสมัครเล่นที่มิใช่เพื่อการค้า แต่รวมกันเพื่อส่งเสริมความสนใจเกี่ยวกับการทดลองวิทยุเพื่อความก้าวหน้าทางศิลปการวิทยุ และผดุงไว้ซึ่งชื่อเสียงของนักวิทยุสมัครเล่น ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ และเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นซึ่งกันและกันโดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง"

สมาคมวิทยุสมัครเล่นแห่งประเทศไทย พยายามดำเนินการกิจการวิทยุสมัครเล่นในประเทศไทยให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยขออนุญาตทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการวิทยุสมัครเล่นมาโดยตลอด เช่น การเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันระดับนานาชาติในรายการแข่งขันวิทยุสมัครเล่นต่างๆ รวมทั้งเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันรายการต่างๆ หลายรายการนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการประสานงานการจัดและบริหารความถี่วิทยุแห่งชาติในสมัยนั้น ให้มีการจัดตั้งสถานีชั่วคราวขึ้นได้

ต่อมามีการจัดตั้ง "ชมรมวิทยุอาสาสมัคร" ในปี พ.ศ. 2524 ขึ้น โดย พล.ต.ต.สุชาติ เผือกสกลธ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขในขณะนั้น และได้มีการจัดให้มีการสอบเพื่อรับประกาศนียบัตรพนักงานวิทยุสมัครเล่นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 ซึ่งในครั้งนั้นมีการกำหนดสัญญาณเรียกขานเป็น "VR" โดยเริ่มจาก VR001 ไปเรื่อยๆ มีผู้สมัครสอบประมาณ 500 คน และสอบผ่าน 311 คน ผู้ที่สอบได้จะเรียกตัวเองว่า นักวิทยุอาสาสมัคร

แต่เป็นที่ทราบกันดีว่านักวิทยุอาสาสมัครได้ใช้ความถี่วิทยุสมัครเล่น ช่วยเหลือสังคม และงานต่างๆ ของทางราชการตลอดมา ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ประชาชนทั่วไปได้มีสิทธิใช้งานความถี่วิทยุ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้า การเมือง และศาสนา ซึ่งหลังจากนั้นคณะกรรมการชมรม ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในรูปแบบของสมาคม ภายใต้ชื่อ "สมาคมวิทยุอาสาสมัคร" มีชื่อภาษาอังฤษว่า "Voluntary Radio Association (VRA)" ในวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2526 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์รวมนักวิทยุอาสาสมัคร ช่วยเหลือสังคมและสาธารณประโยชน์แลกเปลี่ยนความรู้ทางเทคนิคระหว่างสมาชิกและพัฒนาวิชาการด้านวิทยุคมนาคม โดยการปฏิบัติการติดต่อสื่อสารของสมาชิกทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือศาสนา และไม่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวข้องกับการเมือง

"กิจการวิทยุสมัครเล่น" ได้รับการรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมายอย่างแท้จริงเมื่อ วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2530 จากการประกาศใช้ระเบียบคณะกรรมการประสานงานการจัดและบริหารความถี่วิทยุแห่งชาติ ว่าด้วยกิจการวิทยุสมัครเล่น พ.ศ. 2530 นับได้ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้มีการติดต่อสื่อสารแบบ "นักวิทยุสมัครเล่น" อย่างแท้จริงขึ้นในประเทศไทย โดยกำหนดสัญญาณเรียกขานที่เป็นสากลตามข้อกำหนดของ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ

ซึ่งกำหนดให้ประเทศไทยใช้สัญญาณเรียกขานที่ขึ้นต้นด้วย " HS" และในเวลาต่อมาได้กำหนดสัญญาณเรียกขาน "E2" เพิ่มให้กับประเทศไทย

*** กลับข้างบน ***

 

กิจกรรมต่างๆ ของนักวิทยุสมัครเล่น

เครื่องส่งที่ทันสมัยของนักวิทยุสมัครเล่น

นักวิทยุสมัครเล่นติดต่อสื่อสารกันในหลายรูปแบบ โดยทั่วไปนิยมติดต่อสื่อสารกันด้วยเสียงพูด ซึ่งถ้าใช้การผสมคลื่นความถี่แบบ FM จะได้คุณภาพของเสียงที่ดีมาก แต่หากต้องการติดต่อสื่อสารเป็นระยะทางไกลๆ โดยใช้แถบความถี่น้อยหรือมีแถบความถี่ค่อนข้างจำกัดก็จะใช้การผสมคลื่นแบบ single sideband (SSB) ได้ การติดต่อสื่อสารด้วยรหัสมอร์ส ยังคงได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับนักวิทยุสมัครเล่นทั่วโลก[ต้องการแหล่งอ้างอิง] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านความถี่ต่ำ (HF) ซึ่งจากการทดลองก็พบว่าเป็นการติดต่อสื่อสารที่ดีมากหากเทียบอัตราส่วนระหว่างสัญญาณรบกวนและสัญญาณข้อมูล

การติดต่อด้วยรหัสมอร์สนั้นเป็นส่วนช่วยให้นักวิทยุสมัครเล่นที่อยู่คนละประเทศ พูดคนละภาษา แต่สามารถใช้รหัสมอร์สพูดคุยหรือสื่อสารกันได้ด้วยรูปแบบที่เป็นสากล และที่สำคัญเครื่องรับ-ส่ง CW นั้นสามารถสร้างได้ง่ายอีกด้วย สำหรับการติดต่อสื่อสารในปัจจุบันที่ทันสมัยของนักวิทยุสมัคเล่นโดยอาศัยคอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นส่วนเสริมให้การติดต่อสื่อสารแบบดิจิตอลได้รับความนิยมขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งหากเป็นสมัยก่อนจะต้องใช้เครื่องมือมากมายในการติดต่อสื่อสารที่เป็นดิจิตอล ที่ผ่านมานักวิทยุสมัครเล่นเป็นผู้ริเริ่มนำระบบ Packet Radio เข้ามาใช้งาน ซึ่งต่อมาได้มีหลายๆ องค์กรนำไปพัฒนาและใช้งานให้เกิดประโยชน์มากมาย อีกทั้งนักวิทยุสมัครเล่นยังได้พัฒนาการติดต่อสื่อสารดิจิตอลอีกหลายรูปแบบ เช่น PSK31 ที่ใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารแบบทันทีและใช้กำลังส่งที่น้อยในความถี่คลื่นสั้น (HF) WSJT ซึ่งนิยมใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารที่สัญญาณอ่อนมากๆ โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารสะท้อนพื้นผิวดวงจันทร์ การติดต่อสื่อสารด้วยภาพคล้ายการส่งสัญญาณโทรทัศน์นักวิทยุสมัครเล่นก็สามารถพัฒนาขึ้นมาใช้งานได้เช่นกัน

การจับกลุ่มคุยกัน

นักวิทยุสมัครเล่นจำนวนไม่น้อยชอบที่จะพูดคุยกับนักวิทยุสมัครเล่นคนอื่น ๆ บนความถี่วิทยุเป็นประจำ โดยการคุยกันเป็นกลุ่มหลาย ๆ คน เรียกการจับกลุ่มคุยแบบนี้ว่า "Rag Chew" การคุยกันแบบนี้นับได้ว่ามีมาตั้งแต่เริ่มแรกของวิทยุสมัครเล่นเลยก็ว่าได้

เรื่องที่พูดคุยกันนั้นก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป หรือเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยุสมัครเล่น เช่น ความรู้สายอากาศ การซ่อมแซมอุปกรณ์ต่างๆ คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิคส์ เป็นต้น

บัตรยืนยันการติดต่อ

ตัวอย่างบัตรยืนยันการติดต่อ (QSL card)

โดยทั่วไปนักวิทยุสมัครเล่นมักนิยมแลกเปลี่ยนบัตรยืนยันการติดต่อ หรือ QSL card ระหว่างกัน เพื่อที่จดบันทึกการติดต่อสื่อสารครั้งนั้นไว้ ซึ่งรางวัลต่าง ๆ ในกิจการวิทยุสมัครเล่น หลายรางวัลจำเป็นต้องใช้บัตรยืนยันการติดต่อนี้เพื่อรับรางวัล นักวิทยุสมัครเล่นบางคนก็นิยมเก็บสะสม เพราะมีความสวยงาม

การติดต่อทางไกล (DX)

นักวิทยุสมัครเล่นหลายคนก็นิยมติดต่อกับสถานีที่อยู่ไกลออกไปจากที่อยู่ของตนเอง เช่น ติดต่อกันผ่านความถี่ย่าน HF ซึ่งสามารถติดต่อระหว่างประเทศ ระหว่างทวีปได้ทั่วโลก หรือแม้กระทั่งพยายามใช้ความถี่ย่าน VHF สามารถติดต่อได้ไกลๆ โดยเทคนิคด้านการสื่อสารแบบต่าง เช่น การติดต่อสื่อสารโดยการสะท้อนคลื่นวิทยุจากผิวพื้นดวงจันทร์ เป็นต้น

การเดินทางไปติดต่อตามสถานที่ต่างๆ (DX-peditions)

มีหลายประเทศหรือหลายสถานที่ ที่มีนักวิทยุสมัครเล่นอยู่น้อยหรือไม่มีเลย ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักวิทยุสมัครเล่นจากส่วนต่างๆ ของโลกที่ต้องการติดต่อกับสถานีวิทยุสมัครเล่นในสถานที่เหล่านี้ ซึ่งอาจมีการวมตัวกันเดินทางไปตั้งสถานีชั่วคราว เพื่อทำการติดต่อออกมาจากสถานที่เหล่านี้ ซึ่งการเดินทางไปเช่นนี้เรียกว่า DX-peditions ซึ่งถ้าเป็นการเดินทางไปยังสถานที่ที่ยากลำบากหรือมีความต้องการติดต่อกับสถานที่นั้นมาก จะสามารถติดต่อได้เป็นแสนสถานีจากทั่วทุกประเทศ ภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์

รางวัล

มีรางวัลสำหรับนักวิทยุสมัครเล่นที่สามารถติดต่อ (มักนิยมเรียกว่า "Work") กับสถานีวิทยุสมัครเล่นในส่วนต่างๆ ของโลก มากมายหลายรางวัล รางวัลที่เป็นที่นิยมได้แก่ รางวัล DX Century Club (DXCC) คือรางวัลที่ให้กับผู้ที่สามารถติดต่อและยืนยันด้วยบัตรยืนยันการติดต่อได้ 100 ประเทศขึ้นไป จากทั้งหมด 335 ประเทศ ซึ่งเป็นรางวัลที่นิยมมากที่สุด ถ้าใครได้รับรางวัลนี้ก็เป็นการพิสูจน์ว่าเป็นผู้มีทักษะและความพยายาม ในการใช้ความสามารถในการติดต่อได้หลายประเทศ นอกจากนี้ยังมี รางวัล Work All States สำหรับผู้ที่สามารถติดต่อครบทุกรัฐของสหรัฐอเมริกา รางวัล Work All Continents ให้กับผู้ที่สามารถติดต่อได้ครบ 6 ทวีปของโลก รางวัล Work All Zones มอบให้ผู้ที่ติดต่อได้ครบ Zone

การแข่งขัน

การแข่งขัน หรือ Contesting หรือ Radio sport คือ กิจกรรมการแข่งขันของนักวิทยุสมัครเล่นที่จัดและดำเนินการโดยนักวิทยุสมัครเล่น ซึ่งในการแข่งขันนั้น สถานีวิทยุสมัครเล่น อาจออกอากาศด้วยนักวิทยุสมัครเล่นเพียงคนเดียวหรือรวมกลุ่มกัน เพื่อจะพยายามติดต่อสถานีวิทยุสมัครเล่นอื่นๆ ให้ได้มากที่สุดภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยในการติดต่อกันนั้นจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันด้วย ซึ่งกติกาการแข่งขันนั้นก็จะกำหนดความถี่ที่ใช้ในการติดต่อและข้อมูลที่ต้องแลกเปลี่ยนกันในแต่ละครั้ง ซึ่งการติดต่อแต่ละสถานีจะถูกคำนวณออกมาเป็นคะแนน ซึ่งจะนำมาจัดลำดับหลังจากจบการแข่งขัน การแข่งขันแต่ละรายการจะมีผู้สนับสนุนและกติกาแตกต่างกันออกไป ส่วนมากผลการแข่งขันจะประกาศในนิตยสารวิทยุสมัครเล่นที่เป็นที่รู้จักหรือตามเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับวิทยุสมัครเล่น นับวันจะมีจำนวนการแข่งขันเพิ่มขึ้น รวมทั้งนักวิทยุสมัครเล่นที่เข้าร่วมแข่งขันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และนักวิทยุสมัครเล่นหลายๆ คน มักเข้าร่วมแข่งขันเป็นประจำทุกรายการ เหมือนกับว่าเป็นกิจกรรมหลักของนักวิทยุสมัครเล่นนั้น ๆ ก็ว่าได้

สถานีพิเศษ

 

สัญญาณเรียกขานพิเศษ

ในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ มักจะมีการกำหนดสัญญาณเรียกขานพิเศษ เพื่อใช้สำหรับการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้น ซึ่งนักวิทยุหลายคนก็คอยจะติดต่อกับสถานีพิเศษเหล่านี้ เพื่อจะขอรับบัตรยืนยันการติดต่อไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งในบางโอกาสอาจมีการใช้ prefix พิเศษ เช่น HS2000 ซึ่งเป็นสถานีรายงานการปรับเปลี่ยนปี ค.ศ. ใหม่ HS50A สัญญาณเรียกขานพิเศษสำหรับเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี

การตั้งสถานีติดต่อชั่วคราว (Portable)

นักวิทยุสมัครเล่นมักจะนำอุปกรณ์วิทยุสื่อสารของตนเองติดตัวไปด้วยเวลาไปเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง และจะออกอากาศหรือทำการติดต่อจากสถานที่เหล่านั้น (ต้องได้รับอนุญาตสำหรับการออกอากาศในสถานที่นอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาต) ด้วยกำลังส่งต่ำ และสายอากาศที่สามารถติดตั้งได้ง่าย ซึ่งก็มีบ่อยครั้งที่ตั้งใจเดินทางไปยังสถานที่ที่ห่างไกลและไม่มีนักวิทยุสมัครเล่นไปออกอากาศ เพื่อเปิดโอกาศให้นักวิทยุสมัครเล่นจากที่ต่าง ๆ ได้ติดต่อเข้ามาเพื่อแลกบัตรยืนยันการติดต่อ แม้กระทั้ง นักวิทยุที่ชอบเดินทางด้วยเรือหรือเครื่องบินก็สามารถใช้เครื่องมือสื่อสารติดต่อกับนักวิทยุสมัครเล่นอื่น ๆ ได้เช่นกัน

การติดต่อด้วยกำลังส่งต่ำ (QRP)

มีนักวิทยุสมัครเล่นบางคนที่ชอบสร้างเครื่องรับ-ส่ง ด้วยตนเอง และนำมาใช้ด้วยกำลังส่งที่ต่ำ เรียกว่า QRP ซึ่งมาจาก Q code ที่มีความหมายว่า "ลดกำลังส่ง" การออกอากาศด้วย QRP ใช้กำลังส่งไม่เกิน 5 วัตต์ สำหรับรหัสมอร์ส และไม่เกิน 10 วัตต์สำหรับการส่งด้วยเสียง

วิทยุสมัครเล่นกับอวกาศ

ที่ผ่านมานักวิทยุสมัครเล่นได้ส่งดาวเทียมสำหรับการติดต่อสื่อสารหรือการทดลองของนักวิทยุสมัครเล่นมากกว่า 70 ดวงแล้ว ในโครงการที่ชื่อว่า Orbiting Satellite Carrying Amateur Radio หรือ OSCAR ซึ่งบางดวงก็สามารถใช้งานด้วยการใช้เครื่องวิทยุรับ-ส่งชนิดมือถือ และสายอากาศชนิดติดกับตัวเครื่อง หรือ "rubber duck" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AO-51 หรือ AMSAT Echo นักวิทยุสมัครเล่นยังสามารถใช้ "ดาวเทียมธรรมชาติ" ได้แก่ ดวงจันทร์ และ ดาวตก สำหรับการสะท้อนคลื่นเพื่อการติดต่อสื่อสาร นักวิทยุสมัครเล่นยังสามารถติดต่อสื่อสารกับสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station หรือ ISS) ซึ่งนักบินอวกาศเกือบทุกคนที่ประจำอยู่จะได้รับใบอนุญาตการเป็นนักวิทยุสมัครเล่นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีโครงการให้นักเรียนได้ติดต่อพูดคุยกับนักบินอวกาศผ่านความถี่วิทยุสมัครเล่น อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นความถี่สำรองสำหรับสถานีอวกาศนานาชาติอีกด้วย

การเป็นนักวิทยุสมัครเล่นและใบอนุญาต

สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักวิทยุสมัครเล่น จะต้องได้สอบเพื่อรับประกาศนียบัตรวิทยุสมัครเล่นจาก คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช) ก่อนจึงจะสามารถใช้งานความถี่วิทยุของนักวิทยุสมัครเล่นได้ ซึ่งนักวิทยุสมัครเล่นของประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

1.      ประกาศนียบัตรวิทยุสมัครเล่นขั้นต้น

2.      ประกาศนียบัตรวิทยุสมัครเล่นขั้นกลาง

3.      ประกาศนียบัตรวิทยุสมัครเล่นขั้นสูง

ซึ่งในแต่ระดับขั้นนั้นมีสิทธิที่จะใช้งานความถี่วิทยุสมัครเล่นและกำลังส่งที่แตกต่างกัน สำหรับนักวิทยุสมัครเล่นขั้นสูงนั้น ยังไม่เคยเปิดสอบสำหรับประชาชนทั่วไป แต่มีการถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

หมายเหตุ : ขณะนี้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช) อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการวิทยุสมัครเล่น จึงยังไม่มีการเปิดให้บุคคลทั่วไปได้สอบเพื่อรับประกาศนียบัตรวิทยุสมัครเล่น

สิทธิต่างๆ ของนักวิทยุสมัครเล่นประเทศไทย

เมื่อสอบผ่านหรือได้รับประกาศนียบัตรรับรองการเป็นนักวิทยุสมัครเล่นแล้ว จะมีสิทธิการใช้งานความถี่ที่กำหนดให้ใช้เฉพาะนักวิทยุสมัครเล่นเท่านั้น ซึ่งมีหลายย่านความถี่ตามข้อกำหนดของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) และใช้กำลังส่งได้สูงสุดตามที่กฎหมายกำหนดแต่ละลำดับชั้นของใบอนุญาต สำหรับประเทศไทยสิทธิต่างๆ เป็นดังตาราง

ใบอนุญาต

ความถี่

กำลังส่งสูงสุด

นักวิทยุสมัครเล่นขั้นต้น

144.000 - 146.000 MHz

ไม่เกิน 10 วัตต์

นักวิทยุสมัครเล่นขั้นกลาง

144.000 - 146.000 MHz

ไม่เกิน 10 วัตต์

1.800 - 1.825 MHz

3.500 - 3.540 MHz

7.000 - 7.100 MHz

10.100 - 10.150 MHz

14.000 - 14.350 MHz

18.068 - 18.168 MHz

21.000 - 21.450 MHz

24.890 - 24.990 MHz

28.000 - 29.700 MHz

ไม่เกิน 200 วัตต์

 

*** กลับข้างบน ***

 

 

*** กลับข้างบน ***